ศูนย์วิจัยกสิกรฯแนะใช้ GNP และ GDP ประเมินศก.ควบคู่กันเพื่อให้ได้ภาพกว้างขึ้น

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday March 9, 2016 16:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ภายใต้บริบทของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่เน้นการขับเคลื่อนจากภาคบริการมากขึ้น (สัดส่วนของมูลค่ากิจกรรมภาคบริการขยับขึ้นมาอยู่สูงกว่าร้อยละ 58 ของ GDP ในปี 2558) ทำให้การประเมินสถานการณ์ของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทยในภาพรวม จำเป็นต้องวิเคราะห์ภาพจากองค์ประกอบหลายๆ ด้านเข้าด้วยกัน โดยสำหรับภาคการส่งออกนั้น แม้จะยังคงมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 70 ของ GDP ในแต่ละปี แต่หากดูลึกลงไปในรายละเอียดแล้ว จะพบว่า สัดส่วนของการส่งออกสินค้าทยอยลดบทบาทลงและถูกแทนที่ด้วยการส่งออกบริการ (อาทิ ค่าท่องเที่ยว ค่าขนส่ง ค่าบริการส่วนบุคคล) ขณะที่ การติดตามภาวะการลงทุนของภาคเอกชนนั้น ก็อาจต้องครอบคลุมทั้งในส่วนที่เกิดขึ้นในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถสะท้อนภาพการค้าและกิจกรรมของภาคธุรกิจไทยได้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น

และเมื่อไม่นานมานี้มีข้อเสนอให้มีการติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) ที่นับเป็นอีกหนึ่งมาตรวัดทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งหนึ่งในข้อดีของ GNP คือความครอบคลุมที่จะกระจายไปถึงมิติรายได้ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งอาจมีบทบาทมากขึ้นในระยะข้างหน้า เมื่อดอกผลจากการลงทุนในต่างประเทศของภาคธุรกิจไทยเริ่มปรากฎเด่นชัดมากขึ้น หลังจากที่มีการขยับขยายการลงทุนไปต่างประเทศตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) กับผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) มีข้อแตกต่างกันอยู่ที่แนวการวัดมูลค่าของสินค้า/บริการขั้นสุดท้ายว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในอาณาเขตของประเทศนั้นๆ หรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบุคคลของประเทศนั้นๆ โดยมาตรวัด GDP จะสะท้อนผลรวมของมูลค่าสินค้า/บริการขั้นสุดท้ายที่ “ผลิตขึ้นภายในประเทศ" ไม่ว่าจะเป็นของบุคคลสัญชาติใดก็ตาม ขณะที่ GNP จะวัดเฉพาะมูลค่าสินค้า/บริการขั้นสุดท้ายที่ "เป็นของบุคคลในประเทศ" ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกประเทศก็ตาม

ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่ามูลค่า GNP จะสูงหรือต่ำกว่า GDP ก็ได้ในความเป็นจริงสำหรับประเทศหนึ่งๆ ขึ้นอยู่กับว่า รายได้ในต่างประเทศจากฝีมือของบุคคลในประเทศ (ทั้งในรูปค่าตอบแทนจากการออกไปทำงานต่างประเทศของบุคคลประเทศนั้น และผลประโยชน์จากการที่ภาคธุรกิจของประเทศนั้นออกไปลงทุนในต่างประเทศ) สูงหรือต่ำกว่ารายได้ที่สร้างขึ้นในประเทศโดยฝีมือของชาวต่างชาติ (ทั้งในรูปค่าตอบแทนจากการเข้ามาทำงานของแรงงานต่างชาติ และผลประโยชน์จากการเข้ามาลงทุนของกิจการต่างชาติ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า กรณีของประเทศไทย มูลค่า GNP ของไทยน้อยกว่ามูลค่า GDP นับตั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีระดับต่ำกว่าประมาณ 4.6 แสนล้านบาทโดยเฉลี่ยต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากรายได้จากการลงทุนและค่าตอบแทนที่จ่ายให้กับชาวต่างชาติในไทยยังคงสูงกว่ารายได้จากการลงทุนและค่าตอบแทนของบุคคลสัญชาติไทยในต่างประเทศ อยู่กว่า 3.5 เท่าต่อปี

อย่างไรก็ดี อัตราการขยายตัวของ GNP ที่เริ่มแซงหน้าอัตราการขยายตัวของ GDP ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (GNP ขยายตัวร้อยละ 2.2 และร้อยละ 3.6 ในปี 2557 และ 2558 สูงกว่าการเติบโตของ GDP ที่ร้อยละ 0.8 และร้อยละ 2.8 ในปี 2557 และ 2558 ตามลำดับ) อาจสะท้อนว่ารายได้ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศของไทยกำลังมีบทบาทความสำคัญเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต

โดยประเด็นที่น่าสนใจ คือในรอบ 4 จาก 5 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนไทยเริ่มขยายโอกาสการลงทุนไปต่างประเทศ ทั้งเพื่อแสวงหาประโยชน์จากฐานการผลิตที่มีต้นทุนที่ต่ำลงกว่าภายในประเทศ และควบรวมกิจการเพื่อขยายโอกาสการทำตลาดในต่างประเทศ ซึ่งทิศทางดังกล่าว ทำให้ไทยพลิกกลับมามีฐานะเป็น "ผู้ลงทุนโดยตรงสุทธิ" ทั้งนี้ แม้กำไรและดอกผลที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในต่างประเทศส่วนนี้จะยังไม่กลับมาปรากฏอย่างเด่นชัดมากนักในมูลค่า GNP ในภาพรวม แต่ก็อาจเป็นนัยว่ารายได้ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศของบุคคลและนักธุรกิจสัญชาติไทย น่าจะทยอยเพิ่มสูงขึ้นในระยะข้างหน้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของเศรษฐกิจในภาพรวมจึงไม่จำเป็นต้องเลือกเพียงมาตรวัดเพียงตัวใดตัวหนึ่ง เพราะการวิเคราะห์ห์ข้อมูล GDP และ GNP ควบคู่กัน จะทำให้สามารถประกอบภาพในมุมกว้าง และเข้าใจการเชื่อมโยงของกิจกรรมในภาคส่วนต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ อีกหัวใจสำคัญของการพัฒนาเครื่องชี้วัดด้านเศรษฐกิจ ก็คือ ความรวดเร็วในการเผยแพร่ข้อมูล เพราะจะช่วยให้สามารถประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยได้อย่างครอบคลุมและเท่าทันต่อสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา" เอกสารเผยแพร่ ระบุ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ