ศูนย์วิจัยกสิกรฯ มองตลาดรถยนต์ในประเทศปีนี้ยังเผชิญความเสี่ยงสูง คาดหดตัว 5-10%

ข่าวเศรษฐกิจ Friday March 11, 2016 11:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศปี 59 ยังอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงสูง โดยอาจหดตัวลดลงได้ถึง 5-10% หรือคิดเป็นจำนวนยอดขายรถยนต์ประมาณ 720,000-760,000 คัน โดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 1 มีโอกาสหดตัวสูง เนื่องจากมีการเร่งซื้อรถยนต์บางกลุ่มไปก่อนหน้าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2558 เพื่อเลี่ยงผลจากการปรับขึ้นราคารถยนต์ตามหลังการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีผลบวกต่อยอดขายรถในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 ค่อนข้างมาก จนอัตราการเติบโตหดตัวลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมาตลอดตั้งแต่ต้นปีที่หดตัวในระดับตัวเลข 2 หลักมาโดยตลอด โดยเฉพาะในรถบางกลุ่มที่ขายได้ดีมากในช่วงปลายปี เช่น กลุ่มรถกระบะดัดแปลง เป็นต้น แต่การเร่งซื้อรถยนต์ก่อนที่ราคาจะปรับขึ้นนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ช่วงต้นปี 59 ทำให้มีแนวโน้มจะเผชิญภาวะหดตัวสูงได้ โดยสถานการณ์ต่างๆ น่าจะเริ่มทยอยดีขึ้น หลังการประกาศราคารถยนต์ของค่ายต่างๆ มีความชัดเจนขึ้นแล้ว

ทั้งนี้ ตลาดรถยนต์ในปี 59 ยังอยู่ท่ามกลางปัจจัยลบสำคัญหลายประการ เช่น ภัยแล้งที่น่าจะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา ราคาสินค้าเกษตรที่ยังคงตกต่ำต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคายาง ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ระดับสูง ความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อที่ยังคงดำเนินต่อ ภาคการส่งออกที่ยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และยังรวมไปถึงการทยอยปรับขึ้นราคารถยนต์ในปีนี้เพื่อรับกับภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ในระดับราคาตั้งแต่หลักพันถึงหลักแสนบาท ซึ่งอาจกระทบต่อยอดขายรถยนต์ในช่วงไตรมาสแรกค่อนข้างมากหลังจากเสร็จสิ้นช่วงส่งมอบรถยนต์ที่ได้รับการจองในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยราคาที่ปรับขึ้นในช่วงที่กำลังซื้อของผู้บริโภคยังอ่อนแรงย่อมกระทบต่อยอดขายรถยนต์ไม่มากก็น้อยขึ้นกับระดับราคาที่ปรับขึ้น ความสามารถในการซื้อและความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

"สถานการณ์ตลาดที่มีแรงกดดันสูงอย่างต่อเนื่องมาจากปี 2558 ส่งผลให้คาดว่า ตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2559 จะมีโอกาสหดตัวลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งปิดปีด้วยยอดขาย 799,592 คัน หรือหดตัวกว่า 9% จากปี 2557 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าในปีนี้มีโอกาสที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศจะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงหดตัว 5-10% หรือคิดเป็นยอดขายประมาณ 720,000 ถึง 760,000 คัน" เอกสารเผยแพร่ ระบุ

ภายใต้สภาวะตลาดที่ท้าทายต่อเนื่องอีกปีนั้น คาดว่า ค่ายรถยนต์จะดำเนินกลยุทธ์หลายด้านเพื่อรักษาผลการดำเนินธุรกิจ ซึ่งนอกจากการผลักดันยอดส่งออกแล้ว ค่ายรถยนต์คงจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าศักยภาพผ่านการออกรถยนต์รุ่นใหม่ๆ และการปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า รถยนต์ในกลุ่ม SUV ขนาดเล็ก (B-SUV) อีโคคาร์ และปิกอัพ อาจทำตลาดได้ดีกว่ารถยนต์ประเภทอื่น โดยคาดว่ายอดขายรถ B-SUV ในปี 2559 อาจมีโอกาสทรงตัวจากปีก่อน หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ราว 33,000 คัน ขณะที่รถยนต์อีโคคาร์และรถปิกอัพ 1 ตัน มีโอกาสหดตัวไม่เกิน 7% หรือคิดเป็นยอดขายรถอีโคคาร์ไม่น้อยกว่า 82,000 คัน และยอดขายรถปิกอัพ 1 ตัน ไม่น้อยกว่า 300,000 คัน

"ช่วงที่ผ่านมาพบว่าอัตราการขยายตัวของยอดขายรถอีโคคาร์และรถปิกอัพเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้าโดยรวมแล้วมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ขณะที่รถ B-SUV ขยายตัวสูงมาตลอดปี และมีการหดตัวลงใกล้เคียงกับรถอีโคคาร์และปิกอัพในเดือนมกราคม 2559 ซึ่งเป็นการหดตัวน้อยเมื่อเทียบกับรถประเภทอื่น" เอกสารเผยแพร่ ระบุ

ดังนั้นค่ายรถยนต์คงจะเน้นการเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงหรือฐานลูกค้าที่ยังพอได้รับอานิสงส์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศผ่านการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในกลุ่มประเภทรถยนต์ที่ยังคงมีศักยภาพ พร้อมทั้งเน้นความคุ้มค่าด้านราคาและสมรรถนะควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น นอกจากนี้การที่ภาษีรถคันแรกเริ่มปลดล็อกในปีนี้เป็นปีแรก (สำหรับผู้ที่ซื้อในปี 2554) ก็อาจจะเป็นโอกาสสำหรับค่ายรถและลีสซิ่งต่างๆ ที่จะนำเสนอแคมเปญส่งเสริมการตลาดเพื่อกระตุ้นกลุ่มลูกค้าศักยภาพที่ต้องการเปลี่ยนรถใหม่ในปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ