ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้ผลักดันให้มีการออก พ.ร.บ.การดำเนินธุรกิจ เพื่อทำให้เอสเอ็มอี สามารถนำสินค้าคงคลังมาเป็นตัวค้ำประกันได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางในการทำธุรกิจได้มากขึ้น โดยกฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2559 ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้การจัดอันดับความสะดวกในการดำเนินธุรกิจในไทยของธนาคารโลกที่จะเข้ามาตรวจสอบอีกครั้งในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. นี้ ดีขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่ที่อันดับที่ 49 จาก 189 ประเทศ
“เราก็หวังว่าการดำเนินการของเราในครั้งนี้จะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น ซึ่งหลัก ๆ เราเน้นการปรับปรุงและส่งเสริมด้านการเริ่มต้นธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็น 1 ใน 10 ด้านที่ธนาคารโลกใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินอันดับความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ หากไทยสามารถแก้ไขได้ดีใน 1 ด้าน อาจทำให้ไทยปรับขึ้นติดอันดับ 1 ใน 30 ได้" นายอภิศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการปรับปรุงการให้ความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ มุ่งหวังที่จะให้เกิดการแข่งขันระยะยาวด้วยการให้ไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีที่นักลงทุนคิดถึงเมื่อต้องการหาแหล่งลงทุนที่ดี ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิดการลงทุนระยะยาวได้
ด้านนายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย ยืนยันว่า เอกชนมีความพอใจกับแนวทางดังกล่าว และเป็นสิ่งที่ดีที่จะปรับปรุงการทำธุรกิจในเมืองไทยให้เกิดประโยชน์และสะดวกมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เอกชนต่างประเทศอยากเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น