ขณะที่ คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะจับตาสถานการณ์ตลาดการเงินโลกดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพราะคาดว่าจะนำมาสู่การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของธนาคารกลางอื่นๆ ในภูมิภาค อาทิ อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ ซึ่งจะทำให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่นๆ โดยเปรียบเทียบและกระทบต่อการส่งออกของไทยมากขึ้นอีก ทั้งนี้ แม้ว่ากลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะนี้ ยังต้องอาศัยนโยบายการคลังเป็นกลจักรสำคัญ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า หากปัจจัยภายนอกทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวล่าช้ากว่าคาด (ซึ่งอาจสะท้อนผ่านการปรับตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจไทยของ ธปท.ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2559) ผนวกกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ และแนวโน้มค่าเงินบาทที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขันของสินค้าออกไทยในระยะต่อไปแล้ว ก็อาจทำให้ต้องพิจารณาทางออกจากฝั่งนโยบายการเงินในระยะถัดไปด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) รอบที่ 2 ปี 2559 ในวันที่ 15-16 มี.ค.นี้ คาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.25-0.50% ต่อเนื่องอีกระยะ เพื่อรอประเมินภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้มีความชัดเจนมากขึ้น หลังปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจากการประชุมครั้งก่อนหน้า ซึ่งหากเฟดเริ่มกระบวนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจังหวะนี้อาจเป็นการซ้ำเติมให้สถานการณ์การฟื้นตัวเลวร้ายลงได้
สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ผ่านมา เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลงบ้าง ขณะที่ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้น โดยมีเหตุสนับสนุนหลักดังนี้ ได้แก่ เครื่องชี้ภาคการผลิตอย่างเช่นดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (ISM Manufacturing) ที่ปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 เดือน เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็ให้ภาพที่ซึมลง ขณะที่แนวโน้มเงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่าขึ้น ดังจะเห็นได้จากการปรับตัวขึ้นของดัชนีอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์ฯ (USD Trade-Weighted Index) ก็อาจกระทบต่อการส่งออกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะถัดไปด้วย
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินยังเรื้อรังและทำให้มาตรวัดภาคการผลิตและบริการของจีนยังถดถอยลงต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาหนี้ของภาคเอกชนและทางการจีนที่อยู่ในระดับสูง จนนำมาสู่ปัญหาความเชื่อมั่นและระดับทุนสำรองฯ ที่ลดลงต่อเนื่อง
รวมทั้งยังมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นการลงประชามติเพื่อตัดสินว่าสหราชอาณาจักรจะออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) หรือไม่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Brexit" ซึ่งเป็นปัจจัยที่เฟดคงจับตาใกล้ชิด เพราะจะเพิ่มความซับซ้อนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปมากขึ้นอีก นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของธนาคารกลางขนาดใหญ่ จะยิ่งทำให้เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่า และกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของเอกชนสหรัฐฯ
"จุดสนใจในการประชุมเฟดครั้งนี้ อยู่ที่การเปิดเผยมุมมองการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า และมุมมองที่มีต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด ทั้งนี้ ภายใต้ความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มากขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่ามีโอกาสที่เฟดอาจปรับลดคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งมุมมองต่อระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมลง จากระดับที่เคยคาดการณ์ไว้ในรอบการประชุมเดือนธ.ค.58 อันเป็นนัยที่บ่งชี้ถึงโอกาสที่เฟดจะเลื่อนจังหวะในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป" เอกสารเผยแพร่ระบุ