ปัจจุบันจีนนำเข้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านรายได้และวิถีชีวิตการดำรงชีวิตที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว ทำให้มีพฤติกรรมหันมาบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้ามากขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะจำหน่ายตลาดในเมืองใหญ่ๆ เป็นหลัก ซึ่งยังมิได้ให้ความสำคัญกับตลาดในชนบทหรือเมืองรอง จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนรายได้เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคในชนบทมีกำลังซื้อสูงขึ้นตามไปด้วย พฤติกรรมการบริโภคก็เปลี่ยนแปลง หันมานิยมบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้ามากขึ้น อีกทั้งการค้าออนไลน์ E-Commerce ได้รับการพัฒนาและได้รับความนิยมจากชาวจีนมากขึ้น ทำให้เกิดช่องทางการจำหน่ายใหม่ที่เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้าเพิ่มและขยายปริมาณการนำเข้าสู่ตลาดจีนมากขึ้น
ทั้งนี้ ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในตลาดจีนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ผลิตในประเทศ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้า เนื่องจากความต้องการและความแตกต่างด้านรสชาติ ทำให้ผู้บริโภคชาวจีนส่วนใหญ่นิยมแบรนด์ที่นำเข้าจากเอเชียเป็นหลัก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี สิงค์โปร์ และไทย โดยสินค้าของเกาหลีและไทยได้รับความนิยมและขายดีที่สุด ทั้งนี้ จากข้อมูลนำเข้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2558 มีมูลค่าการจำหน่ายเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 22 ต่อปี ปริมาณการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้า คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.1 ของท้องตลาด และคาดว่าในปี 2563 มูลค่าการจำหน่ายจะสูงถึง 100,000 ล้านหยวน (ประมาณ 450,000 ล้านบาท) แสดงให้เห็นว่าโอกาสในการขยายตัวตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนำเข้าในตลาดจีนยังมีอีกมาก
จากข้อมูลสถิติของอุตสาหกรรมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพบว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปริมาณความต้องการของตลาดจีนเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยในปี 2556 มีความต้องการจำนวน 46,220 ล้านห่อ มากเป็นอันดับ 1 ของโลก รองมาคือ อินโดนีเซีย จำนวน 14,000 ล้านห่อ และญี่ปุ่น ส่วนในปี 2557 จีนมีความต้องการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสูงถึง 48,615 ล้านห่อ ขยายตัวเพิ่มร้อยละ 5.18 แสดงให้เห็นว่า จีนเป็นตลาดที่มีศักยภาพและนิยมบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอย่างมาก จากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้พบว่า คนเอเชียเริ่มมีแนวโน้มที่จะแพ้สาร Gluten จากข้าวสาลีในผลิตภัณฑ์อาหารเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเกิดกับชาวตะวันตก เพราะบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตจากข้าวสาลีหลากชนิดก็ตาม ผลการศึกษาดังกล่าวยังพบว่าคนจีน 4 ใน 62 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่สูงของประชากรจีนจะแพ้สาร Gluten จากผลิตภัณฑ์สินค้าอาหารของชาวตะวันตกที่เป็นที่นิยมในตลาดจีนขณะนี้ ดังนั้นโอกาสที่ผลิตภัณฑ์จากข้าวไทยที่ไม่มีสาร Gluten จะไปทดแทนผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลีก็จะมีมากขึ้น
"จะมอบหมายให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ให้ดำเนินการผลักดันเพื่อใช้ข้าวของไทยไปเป็นวัตถุดิบทดแทนข้าวสาลี เพื่อผลิตสินค้าในประเทศอื่นๆ ด้วย ไม่เฉพาะจีนประเทศเดียว ทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป เพราะปัจจุบันข้าวของไทยที่มีสี เช่น ไรซ์เบอร์รี่ ก็สามารถนำมาทำขนมปัง บิสกิต ฯลฯ แทนแป้งสาลีได้และยังมีรสชาติหอม นุ่มนวล อีกด้วย" รมว.พาณิชย์ กล่าว
พร้อมระบุว่า แนวโน้มชาวจีนจะหันมาบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เป็นแบรนด์ระดับกลาง-สูงมากที่สุด ดังนั้นหากผู้ประกอบการไทยจะไปทำธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในจีนให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องร่วมมือกับผู้นำเข้า/ผู้แทนจำหน่าย เพื่อประชาสัมพันธ์ในช่องทางต่างๆ ให้มากขึ้น รวมทั้งต้องจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าก่อนเข้าสู่ตลาดจีน เพื่อป้องกันการถูกลอกเลียนแบบ และต้องมีการวางกลยุทธ์การจำหน่ายที่สามารถแข่งขันได้