นายสมคิด ระบุในที่ประชุมว่า ไม่อยากให้ EXIMBank กังวลเรื่องเป้าหมายของกำไรที่เคยเป็น KPI วัดผลการทำงานของธนาคารในช่วงก่อน แต่อยากเห็นธนาคารเป็นเครื่องมือที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือนักลงทุนในการลงทุนและส่งออกสินค้าไปต่างประเทศมากกว่า
“ที่ผ่านมาการสนับสนุนภาคธุรกิจไทยในการส่งออกและลงทุนต่างประเทศแทบไม่มีเลย ...ได้ฝาก รมว.คลังที่เป็นนายแบงก์มาก่อนให้มาช่วยเหลือในด้านนี้ และเรื่องนี้เองจะนำมาเป็นดัชนีชี้วัด (KPI) กับกรรมการผู้จัดการคนใหม่ที่จะได้รายชื่อภายใน 2 สัปดาห์นี้ด้วย" นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวอีกว่า การวัด KPI ของกรรมการผู้จัดการคนใหม่ คือต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้ธนาคารแข่งขันได้มากขึ้น มีบรรยากาศการทำงานที่คักคักขึ้นนั่นเอง โดยหลัก ๆ อยากให้มองไปที่ประเทศที่สามารถเข้าไปแข่งขันและเติบโตได้ อาทิ กลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม (CLMV) ศรีลังกา และอิหร่าน เป็นต้น โดยเชื่อว่ากระทรวงการคลังมีความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือและรองรับแผนงานในทุกด้าน
ด้านนายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ประเด็นสำคัญคือ EXIMBank ต้องมีแผนในการเพิ่มบทบาทการทำงานที่ชัดเจนโดยเฉพาะในเรื่องการส่งออกของไทยสืบเนื่องไปถึงอนาคต และที่ผ่านมาเห็นว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์างธนาคารได้ดำเนินการไปแล้วคือการลดอัตราดอกเบี้ยให้กับลูกค้า อันนี้ถือเป็นเรื่องดีและเป็นเรื่องที่แตกต่างจากสถาบันการเงินอื่น ๆ ถือเป็นการช่วยเหลือผู้ส่งออก โดยการลดกำไรลง และไปเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยเหลือเพื่อให้ผู้ประกอบการอยู่ได้
สำหรับการเปิดสาขาในต่างประเทศนั้น ยืนยันว่า EXIMBank สามารถดำเนินการได้เลย โดยไม่ขัดกับกฎหมายการจัดตั้งธนาคาร เพราะกฎหมายมีการเปิดกว้างให้ดำเนินการเรื่องนี้อยู่แล้ว รวมทั้งควรเพิ่มบทบาทของธนาคารให้มีความยืนยาวและมีความสำคัญกับการขับเคลื่อนภาคส่งออกของประเทศให้มากขึ้นด้วย
นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะประธาน EXIMBank เปิดเผยว่า ธนาคารพร้อมรับนโยบายและเร่งดำเนินงานโดยเร็วที่สุด โดยยืนยันว่า EXIMBank ไม่ได้ต้องการทำงานแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ แต่เป็นการดำเนินงานตามปกติ สำหรับการขยายสาขาในกลุ่มประเทศ CLMV นั้นที่ยังไม่ได้เป็นการเปิดสาขาเต็มรูปแบบ เพราะจะมีค่าใช้จ่ายที่สูง โดยจะพยายามดำเนินการให้เร็วที่สุด