(เพิ่มเติม) รมว.คลัง เผยตัวเลขส่งออก ก.พ.ในรูปดอลลาร์เบื้องต้นโต 10% จากมูลค่าการค้าทองพุ่ง

ข่าวเศรษฐกิจ Monday March 21, 2016 16:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ระบุว่า ตัวเลขเบื้องต้นของการส่งออกไทยในรูปดอลลาร์ช่วงเดือน ก.พ.59 ขยายตัว 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งรวมการส่งออกทองคำและน้ำมันไว้แล้ว ซึ่งพลิกจากสถานการณ์ในเดือน ม.ค.59 ที่ติดลบ 8.91%

ทั้งนี้ รมว.คลัง กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้การส่งออกในเดือนก.พ.เป็นบวกได้นั้น มาจากการส่งออกทองคำเป็นหลัก แต่หากไม่รวมการส่งออกทองคำจะทำให้มูลค่าการส่งออกขยายตัวประมาณ 2%

"ปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่มีภาวะเศรษฐกิจไม่ปกติมา 7-8 ปีแล้วนับตั้งแต่ที่สหรัฐเกิดวิกฤติเศรษฐกิจและมีการใช้นโยบายการเงินการคลังในระดับที่พิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบหรือการทำ QE, การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งนโยบายการเงินการคลังในระดับที่พิเศษนี้จะทำได้ผลเฉพาะประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน

อย่างไรก็ดี นโยบายการเงินการคลังดังกล่าวที่ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่นำออกมาใช้ได้สร้างผลกระทบตามมากับประเทศขนาดเล็กอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่เหล่านี้ ดังจะเห็นได้จากล่าสุดที่เมื่อจีนเริ่มเห็นการชะลอตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศ จึงได้เริ่มที่จะหันกลับมาปรับแนวคิดในการให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้เมื่อเศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอตัวจึงมีผลกระทบต่อประเทศเล็กๆ ที่เคยพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศจีนให้ลดลงด้วย และทำให้ในภาพรวมปริมาณการค้าโลกจะลดลงอย่างแน่นอน โดยล่าสุด ข้อมูลการส่งออกในเดือน ก.พ.59 ของจีนที่ลดลงถึง 25% ได้สร้างความกังวลต่อประเทศอื่นๆ ตามมาเป็นอย่างมาก" รมว.คลังกล่าวปาฐถาในงาน Post FORUM 2016 เรื่อง "ปีทองของการลงทุนในประเทศไทย"

ดังนั้นเมื่อสถานการณ์ด้านการส่งออกของไทยยังเป็นเช่นนี้จึงจำเป็นที่จะต้องหันมาให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานรากซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและทดแทนสิ่งที่เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวจากตลาดโลกได้

รมว. คลัง กล่าวอีกว่า จากที่ได้คุยกับทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ล่าสุดเขามองว่าไทยยังสามารถใช้นโยบายการคลังได้อีกมาก หนี้สาธารณะต่อ GDP ยังอยู่ที่ 44% และเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพที่จะสามารถเติบโตได้ 4-5%

"เราเห็นด้วยว่าเรายังโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่คงไม่ใช่จะให้รัฐบาลเอาเงินใส่ไปให้เฉยๆ เพราะพอเงินหมดก็จะมีปัญหาอีกถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ฟื้น การที่เศรษฐกิจจะโตเต็มศักยภาพที่ 4-5% ได้นั้นจะต้องปฎิรูปในหลายด้าน เราต้องปฎิรูปให้เราสามารถพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศได้" รมว.คลัง กล่าว

พร้อมระบุว่า การเพิ่มจำนวนผู้มีรายได้ระดับปานกลางให้มากขึ้นนับเป็นสิ่งสำคัญ เพราะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางนี้ถือเป็นฐานสำคัญของประเทศในการสร้างมูลค่าการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งรัฐบาลจะเดินในแนวทางที่พยายามทำให้คนระดับฐานรากได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นคนชั้นกลางให้ได้

รมว.คลัง กล่าวว่า การลงทุนก็ถือเป็นหัวใจสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ ซึ่งในปีที่ผ่านมารัฐบาลพยายามจะเป็นผู้นำให้แก่เอกชนในการเพิ่มปริมาณการลงทุนในประเทศ โดยจะเห็นได้ว่าในปี 58 รัฐบาลมีการลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 28% ในขณะที่ภาคเอกชนมีการลงทุนลดลง 2% ดังนั้นจะต้องมีการกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้เอกชนสนใจลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน และอำนวยความสะดวกให้แก่ภาคเอกชนในการประกอบธุรกิจในไทยมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ดี การออกมาตรการเพื่อจูงใจภาคเอกชนให้เข้ามาลงทุนในไทยนั้นคงจะไม่เพียงพอ แต่จำเป็นจะต้องมีทีมที่ออกไปจูงใจนักลงทุนต่างประเทศรวมทั้งสร้างความมั่นใจให้ภาคเอกชนเกิดความเชื่อมั่นและขยายการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ที่สำคัญคือต้องทำให้เห็นว่าการลงทุนในไทยไม่ใช่แค่การลงทุนเพื่อประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อรองรับกับกลุ่มประเทศ CLMV ด้วย ซึ่งหากไม่เริ่มทำตอนนี้ประเทศอื่นก็จะใช้จังหวะนี้เข้ามาดำเนินการแทน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นไทยก็จะเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย

"การลงทุนของภาคเอกชนอยู่ที่ความมั่นใจ ดังนั้นถ้าการลงทุนของภาครัฐเกิดเมื่อไหร่ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน ก็จะทำให้เอกชนเห็นว่ารัฐเอาจริงแน่ ประกอบกับเราต้องทำให้เห็นว่าเราเป็นประเทศที่อยู่ได้โดยไม่มีผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก...ตอนนี้เอกชนต้องคิดว่าการลงทุนนี้ไม่ใช่การลงทุนเพียงเพื่อประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อ CLMV ด้วย หากไม่ทำตอนนี้ประเทศอื่นก็จะมาทำแทน และ serve CLMV ได้หมด ถ้าถึงวันนั้นเราก็จะตกรถไฟ เพราะฉะนั้นต้องมองไปข้างหน้า มองตลาดใหญ่ขึ้น ต้องมีความมั่นใจแล้วเริ่มลงทุนได้ สิทธิประโยชน์ที่รัฐให้นี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว" รมว.คลัง กล่าว

พร้อมมองว่าการลงทุนจะช่วยทำให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น โดยหวังว่าผู้ลงทุน ภาครัฐ จะร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าได้ ร่วมกันเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างคนชั้นกลางให้มากขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เพื่อให้ประเทศสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน

นายอภิศักดิ์ ยังเปิดเผยอีกว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในส่วนของการท่องเที่ยว ร้านอาหาร คาดว่าจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในเร็วๆ นี้ เพื่อเป็นมาตรการช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงสงกรานต์ โดยจะมีระยะเวลาใช้มาตรการประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งถือว่ามีความเหมาะสม เพราะช่วงสงกรานต์ถือเป็นวันครอบครัว น่าจะสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศได้มากขึ้น

พร้อมกันนี้ กระทรวงการคลังยังมีแนวคิดเติมเงินให้กับผู้มีรายได้น้อย รวมถึงข้าราชการชั้นผู้น้อย คล้ายเงินช่วยเหลือ หรือเงินโบนัส ซึ่งขณะนี้กำลังเตรียมมาตรการที่จะพยายามออกมาให้เร็วสุดคาดว่าจะเป็นช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ส่วนโครงการบ้านประชารัฐ คาดว่าเข้า ครม.ในวันพรุ่งนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ