พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โดยขยายเวลาจากเดิมที่อุดหนุนเด็กแรกเกิดจนมีอายุ 1 ปี เป็นมีอายุ 3 ปี หลังจากเด็กอายุครบ 3 ปีแล้วก็สามารถเข้ารับบริการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ภาครัฐให้การอุดหนุนอยู่
นอกจากนี้ยังอนุมัติเพิ่มวงเงินอุดหนุนจาก 400 บาท/คน/เดือน เป็น 600 บาท/คน/เดือน ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่เหมาะสม เนื่องจากมีการสำรวจพบว่าค่าอาหารที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสมองของเด็กเล็กถัวเฉลี่ยอยู่ที่ 500-800 บาท
สำหรับการดำเนินงานในช่วงแรกที่ครอบคลุมเด็กที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.58 จนถึง 30 ก.ย.59 จะใช้งบประมาณอุดหนุนราว 864 ล้านบาท และใช้งบประมาณที่จะขยายไปดูแลเด็กที่เกิดในปี 60 เพิ่มอีก 468 ล้านบาท รวมค่าบริหารจัดการต่างๆ แล้วจะใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1,351 ล้านบาท
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากมีข้อมูลจากองค์การยูนิเซฟและสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่า เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี เป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญที่สุดต่อการเจริญเติบโต ทั้งด้านร่างกายและสมองจะพัฒนาได้ดีที่สุด หากได้รับการเอาใจใส่จะทำให้มีพัฒนาการที่ดี เป็นบุคลากรที่ดีมีคุณภาพสูงของสังคมในวันข้างหน้า
"คณะรัฐมนตรีเล็กเห็นว่าเด็กเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าแก่สังคมและประเทศชาติในวันข้างหน้าต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางสากล" พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีตั้งข้อสังเกตุถึงความสัมฤทธิ์ผลของโครงการว่าเด็กจะมีพัฒนาการมากน้อยเพียงใด และเกิดความรั่วไหลหรือไม่ เช่น กรณีที่เด็กไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ทำให้ไม่ได้นำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์ โดยขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปรวบรวมปัญหา อุปสรรค และแนวทางการแก้ไขมานำเสนอด้วย