นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังนาย Ziad S. Ojakli รองประธานอาวุโส ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี และนาย Stephen E. Biegun รองประธานฝ่ายรัฐกิจระหว่างประเทศ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี สหรัฐอเมริกาและคณะเข้าเยี่ยมคารวะว่า ได้มีการหารือในประเด็นด้านการค้าการลงทุนของฟอร์ดในประเทศไทย ซึ่ง รมว.พาณิชย์ยินดีที่ฟอร์ดได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมาเป็นเวลายาวนาน และยืนยันว่าภาคธุรกิจยานยนต์เป็นภาคที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมยานยนต์จัดให้เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าไทย โดยอุตสาหกรรมนี้มีสัดส่วนในการส่งออกของไทยสูงถึง 12% หรือประมาณ 25,608 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของค่ายรถยนต์ต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง จึงได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เชิญผู้บริหารค่ายรถยนต์ต่างๆเข้าหารือกับนายกฯ โดยตรง (Prime Minister Meets CEOs) และรัฐบาลก็มีแผนสนับสนุนให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ๆ รถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles) ด้วย
นางอภิรดี กล่าวว่า ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการเจรจาความตกลงทางการค้ากับประเทศตลาดเป้าหมายอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความตกลงในกรอบ ASEAN+6 หรือ RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) ซึ่งประกอบด้วย อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งจะถือเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลก เพื่อกระตุ้นภาคการส่งออกรถยนต์ของไทย ซึ่งรัฐบาลมองว่าจะเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าการลงทุน และขยายฐานการผลิตและการกระจายสินค้าร่วมกันในภูมิภาค
ในส่วนของความตกลงการค้าเสรีในกรอบ TPP (Trans-Pacific Partnership) ซึ่งถือเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่นำโดยสหรัฐอเมริกานั้น ไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะเข้าร่วมการเจรจาแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาผลดีผลเสียให้รอบด้าน และรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน โดยรัฐบาลเชื่อมั่นในศักยภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาการเปิดตลาดยานยนต์อย่างรอบคอบเพื่อประโยชน์สูงสุดร่วมกัน
ด้านนาย Ziad S. Ojakli รองประธานอาวุโส ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี กล่าวว่า ปัจจุบันฟอร์ดลงทุนในประเทศไทยเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากจีน และอินเดีย ซึ่งฟอร์ดมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐบาลไทย และจะยังคงรักษาฐานการผลิตในไทยไว้ต่อไป พร้อมระบุว่าไทยมีศักยภาพสูงที่จะยังคงเป็นศูนย์กลางผลิตรถยนต์ในภูมิภาคอาเซียน โดยยินดีให้ความร่วมมือด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) แก่ประเทศไทยต่อไป