นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า Mr.Tatsuya Terazawa อธิบดีกรมการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ญี่ปุ่น (METI) ได้เข้าเยี่ยมคารวะและหารือถึงการดำเนินการเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ หลังจากนายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ประกาศแนวคิดเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภูมิภาคเอเชีย จำนวน 40,000 คนภายในระยะเวลา 3 ปี ระหว่างการประชุม ASEAN Business Investment Summit เมื่อเดือน พ.ย.58 กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) ได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนจำนวน 2.5 พันล้านเยน (21 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอาเซียน และให้ไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยร่วมมือกับบริษัทผู้ประกอบการญี่ปุ่นในไทยดำเนินการอบรมทักษะในด้านอุตสาหกรรมในสาขาต่างๆ อาทิ วิศวกรรม การออกแบบและบริหาร หรือจัดส่งผู้เชี่ยวชาญจากไทยไปให้ความรู้กับแรงงานภาคอุตสาหกรรมของประเทศ CLMV อีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของบันทึกแสดงเจตจำนง (MOI) ที่กระทรวงพาณิชย์ได้ลงนามกับ METI ไว้เมื่อเดือน พ.ย.58
โดยกระทรวงพาณิชย์จะเป็นเจ้าภาพจัดสัมมนา CLMVT Forum ระหว่างวันที่ 16-18 มิ.ย.59 ที่กรุงเทพฯ เพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงลึกกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งทางด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันและโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าระหว่างกัน และสร้างความเข้มแข็งและผลักดันให้ประเทศในกลุ่ม CLMVT และอาเซียนมีบทบาทในเวทีโลก โดยรูปแบบการสัมมนาจะเป็นการจัดประชุมอภิปรายร่วมกับการศึกษาดูงานในไทย นอกจากนี้ญี่ปุ่นจะให้ความช่วยเหลือไทยในการพัฒนาระบบการควบคุมการส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (Export Control for Dual-Use Goods) อีกด้วย
สำหรับประเทศญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าและนักลงทุนสำคัญของไทยมาโดยตลอด และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย โดยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2554-2558) ทั้งสองฝ่ายมีมูลค่าการค้าเฉลี่ยปีละ 62,031.29 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2558 การค้ารวมระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมีมูลค่า 51,311.76 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปี 2557 ร้อยละ 10.37 มูลค่าการนำเข้ารวม 31,235.86 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ 12.03 และมูลค่าการส่งออกรวม 20,075.90 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ 7.66