กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศให้ผู้ประกอบการเรือประมงพาณิชย์จำนวน 11,237 ลำที่ได้ยื่นคำร้องขอรับใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์มาติดต่อขอรับใบอนุญาตฯ ก่อนวันที่ 1 เม.ย.นี้ พร้อมเตือนผู้ประกอบการหากออกเรือทำประมงโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีโทษทั้งทางอาญาและมาตรการทางปกครองตาม พ.ร.ก.การประมง 2558
"ผู้ที่ได้มายื่นคำขอรับใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์กับกรมประมงไว้ ขอให้เร่งมาติดต่อขอรับหนังสือแจ้งผลการพิจารณาของกรมประมงจากสำนักงานประมงอำเภอท้องที่ที่ไปยื่นคำขอฯ ก่อนวันที่ 1 เมษายนนี้ ซึ่งเรือประมงที่ได้รับการพิจารณาจะต้องยื่นชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตฯ ค่าอากรให้ใช้เครื่องมือทำการประมง และจะได้รับใบอนุญาตฯ ที่มีอายุ 2 ปี เครื่องหมายประจำเรือประมง บัตรสำหรับใช้แทนใบอนุญาตฯ และสติ๊กเกอร์ประจำเรือประมง จึงสามารถออกทำการประมงได้อย่างถูกต้องตาม พ.ร.ก.การประมง 2558 ซึ่งเริ่มปีการทำประมงใหม่ คือตั้งแต่ 1 เม.ย.59 ถึงวันที่ 31 มี.ค.61" พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ตาม พ.ร.ก.ประมง พ.ศ.2558 กำหนดให้การทำประมงในน่านน้ำไทยจะต้องมีปริมาณสัตว์น้ำไม่เกินกว่าค่าผลผลิตสูงสุดที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน (MSY) และจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย.นี้ ดังนั้นเรือประมงพาณิชย์ทุกลำที่จะออกไปทำการประมงในน่านน้ำไทยจะต้องมีใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ ซึ่งกรมประมงประกาศให้ชาวประมงมายื่นคำร้องขอรับใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ในช่วงระหว่างวันที่ 1-15 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้มายื่นคำขอฯ จำนวนทั้งสิ้น 10,666 ฉบับ จากจำนวนเรือประมง 11,237 ลำ ภายใต้เครื่องมือประมง 10 ประเภท ได้แก่ อวนลาก อวนล้อมจับ อวนครอบ ช้อน/ยก อวนติดตา อวนรุนเคย คราด ลอบ เบ็ด เครื่องมืออื่นๆ เช่น เรือปั่นไฟ
โดยเรือที่จะทำประมงพาณิชย์ทั้งหมดนี้จะต้องระบุเลือกแหล่งที่จะทำการประมงว่าจะเป็นฝั่งอ่าวไทยหรืออันดามัน เลือกได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับค่า MSY หรือปริมาณผลผลิตสูงสุดของสัตว์น้ำที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน ซึ่งคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติได้กำหนดค่า MSY ของสัตว์น้ำที่จะสามารถให้ทำประมงได้ในแต่ละกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสัตว์น้ำหน้าดิน กลุ่มปลาผิวน้ำ และกลุ่มปลากะตัก ไว้แล้ว
"นับจากนี้ไป การทำประมงของไทยจะต้องมีการเดินหน้าไปสู่การปฏิรูปการประมงใหม่ ไร้ IUU และต้องคำนึงถึงขีดความสามารถในการผลิตของธรรมชาติ โดยใช้หลักวิทยาศาตร์เพื่อหาจุดอ้างอิง ไม่ทำประมงแบบ overfishing เหมือนที่ผ่านมา เพื่อให้การประมงของไทยเป็นการทำประมงแบบยั่งยืน ซึ่งเชื่อมั่นว่าแนวทางการจัดระบบการทำประมง ภายใต้ พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558 จะส่งผลให้สัตว์น้ำที่เหลืออยู่ในน่านน้ำไทยสามารถฟื้นฟูกลับคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของประเทศ และนำความกินดีอยู่ดีมาสู่พี่น้องชาวประมงไทย" พล.อ.ฉัตรชัย กล่าว