นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการที่กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศ ให้ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมประมูลข้าวสารในสต็อกของรัฐเป็นการทั่วไปและเข้าสู่อุตสาหกรรม ยื่นซองเอกสารคุณสมบัติ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2559 ปรากฏว่ามีผู้สนใจยื่นซองเอกสารคุณสมบัติของผู้เสนอซื้อข้าวเป็นการทั่วไป 42 ราย และเข้าสู่อุตสาหกรรม 7 ราย โดยผลการตรวจสอบคุณสมบัติและหลักฐานของผู้เสนอซื้อของกรมฯ ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการค้าภายใน และกรมโรงงานอุตสาหกรรม พบว่าผู้เสนอซื้อข้าวเป็นการทั่วไป 42 ราย และเข้าสู่อุตสาหกรรม 7 ราย เป็นผู้ประกอบการที่ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นทั้งหมดทุกราย
โดยในวันนี้ได้เปิดให้ผู้ประกอบการที่ผ่านคุณสมบัติ สำหรับการประมูลข้าวเป็นการทั่วไป 42 ราย ยื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐเป็นการทั่วไป ปริมาณ 4.18 แสนตัน ในข้าว 11 ชนิดที่มีคุณภาพตามมาตรฐานและใกล้เคียงมาตรฐาน (ระดับคุณภาพเกรด P/A/B) ประกอบด้วย ข้าวขาว 5% 10% 15% 25% ข้าวเหนียวขาว 10% ข้าวปทุมธานี ปลายข้าว (เหนียว) A1 ปลายข้าว A1เลิศ ปลายข้าวหอมมะลิ ข้าวท่อนหอมมะลิ และข้าวท่อนหอมปทุม รวมจำนวน 66 คลัง ใน 26 จังหวัด
ผลการเปิดซองเสนอราคาซื้อปรากฏว่ามีผู้มายื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐเป็นการทั่วไป 39 ราย แต่มีผู้ยื่นซองเสนอราคาที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข 38 ราย และไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข 1 ราย ซึ่งมีผู้เสนอราคาที่เสนอราคาซื้อสูงสุด 14 ราย ใน 66 คลัง ปริมาณ 4.18 แสนตัน (คิดเป็น 100% ของปริมาณที่เปิดประมูลเป็นการทั่วไป) มูลค่าที่เสนอซื้อประมาณ 4,433 ล้านบาท ทั้งนี้ ชนิดข้าวที่มีผู้เสนอราคาซื้อมากที่สุดเป็น ข้าวขาว 5% ปริมาณ 2.92 แสนตัน คิดเป็นร้อยละ 70 รองลงมาได้แก่ ข้าวเหนียวขาว 10% ข้าวขาว 10% และปลายข้าว A1เลิศ ตามลำดับ
ส่วนในวันพรุ่งนี้ (31 มี.ค.) จะเปิดให้ผู้ประกอบการที่ผ่านคุณสมบัติสำหรับการประมูลข้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม จำนวน 7 ราย ยื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต็อกของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรม ปริมาณ 2.23 แสนตัน เป็นข้าวที่ผิดไปจากมาตรฐาน และผิดชนิด รวมจำนวน 22 คลัง ใน 9 จังหวัด
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ได้ผู้เสนอซื้อสูงสุดสำหรับการประมูลทั้ง 2 แบบ กรมการค้าต่างประเทศจะดำเนินการรวบรวมผล ให้คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวในสต็อกของรัฐพิจารณาก่อนนำเสนอให้ประธานคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) พิจารณาอนุมัติผลการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐเป็นการทั่วไปและเข้าสู่อุตสาหกรรมต่อไป