นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเดินทางมาที่กระทรวงพาณิชย์ว่า ได้เดินทางมาสอบถามความคืบหน้าการพิจารณาเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ของไทย ซึ่งได้ขอให้กระทรวงพาณิชย์ จัดทำข้อสรุปเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พิจารณาในวันที่ 29 เม.ย.59 โดยรายละเอียดที่เสนอจะต้องมีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการในแต่ละเรื่อง คาดว่า ในการประชุมจะมีความชัดเจนในการประกาศท่าทีของไทยต่อการเข้าร่วม TPP เพราะขณะนี้นักลงทุนต่างประเทศกำลังรออยู่
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ชี้แจงว่า ผลการศึกษาของสถาบันปัญญาภิวัฒน์ที่กระทรวงฯ ได้ว่าจ้างให้ศึกษาข้อดีข้อเสียของการเข้าร่วมเป็นสมาชิก TPP นั้นระบุว่าไทยน่าจะเข้าร่วมมากกว่าไม่เข้าร่วม ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับไทยมากกว่า
อย่างไรก็ตาม นายสมคิด ได้ให้นโยบายเพิ่มเติมว่า ขอให้กระทรวงพาริชย์ ไปศึกษารายละเอียดภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบว่ามีผลกระทบอย่างไร และมาตรการที่จะเยียวยาอย่างไรเพื่อไม่ให้ได้รับความเสียหาย
"กระทรวงพาณิชย์จะตั้งคณะทำงานภายในกระทรวงฯ เพื่อดูแลแต่ละภาคส่วน อย่างเรื่องเกษตรก็ต้องไปพูดคุยกับชาวบ้าน เกษตรกร เพื่อให้เขารู้สึกว่าเขามีส่วนร่วม หรือเรื่องยาก็ต้องไปคุยกับเอ็นจีโอที่ดูแลในเรื่องนี้ แล้วดึงข้าราชการผู้ใหญ่ที่เคยทำงานในเรื่องเหล่านี้มาเป็นที่ปรึกษา เพราะไม่อยากให้สร้างผลกระทบกับคนในประเทศ" นายสมคิด กล่าว
นอกจากนี้ นายสมคิด ยังได้มอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าปรับแผนการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (start-up) โดยจะต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้างผู้ประกอบการ ดึงสถาบันการศึกษา สถาบันการเงินเข้ามาร่วม เพื่อให้การขับเคลื่อนทำได้เร็ว ส่วนกรมการค้าภายใน ต้องปรับบทบาทในการช่วยสร้างตลาดการค้าภายในประเทศให้เข้มแข็ง ขณะที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา ต้องยกระดับงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้เข้มแข็ง เพราะ start-up ถ้าไม่มีทรัพย์สินทางปัญญา ก็โตได้ยาก พร้อมกันนั้น ได้เร่งรัดให้กระทรวงพาณิชย์นำระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (อี-คอมเมิร์ซ) มาช่วยพัฒนาการค้าขายของไทย ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศด้วย