นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เผยเตรียมปรับรูปแบบการจัดงาน Organic & Natural Expo เพื่อให้พร้อมรองรับงานดังกล่าวระดับอาเซียนในปี 60 โดยจะเชิญผู้ประกอบการอินทรีย์ และผู้ประกอบการที่ผลิตอาหาร หรือของใช้ที่มาจากธรรมชาติ รวมทั้งบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมแสดงศักยภาพของธุรกิจดังกล่าว ตั้งเป้าปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมงานที่เป็นผู้ประกอบการในอาเซียนมาร่วมจัดแสดงด้วย
"การเชิญประเทศในอาเซียนมาเข้าร่วมงานด้วยในครั้งนี้นับเป็นนิมิตรหมายที่ดี และเป็นการเตรียมความพร้อมในการยกระดับงาน จากงาน Organic & Natural Expo เป็น Organic & Natural Expo ASEAN ในปี 2560 กระทรวงพาณิชย์เล็งเห็นความสำคัญของอาเซียนในฐานะเป็นแหล่งผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญของโลก จากข้อมูลการสำรวจพื้นที่เกษตรอินทรีย์ในประเทศอาเซียนก็มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องประเทศที่มีพื้นที่ใช้ทำเกษตรอินทรีย์มากที่สุดในอาเซียนคือ ฟิลิปปินส์ (0.6 ล้านไร่) และอินโดนีเซีย (0.46 ล้านไร่) นอกจากนี้พบว่าพื้นที่ใช้ทำเกษตรอินทรีย์มีการขยายตัวมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในเกือบทุกประเทศ" นางอภิรดี กล่าว
ปัจจุบันยังมีผู้ประกอบการไทยจำนวนจำกัดที่สามารถผลิตและส่งออกสินค้าภายใต้มาตรฐานอินทรีย์สากลที่เหลือบางส่วนก็สามารถผลิตได้ตามมาตรฐานอินทรีย์ภายในประเทศ บางส่วนก็อยู่ในระดับที่กำลังจะปรับเปลี่ยนจากการผลิตสินค้าปกติ เข้าสู่กระบวนการอินทรีย์ ซึ่งกลุ่มนี้มักเป็นสินค้าที่เรียกว่า สินค้าที่เป็นธรรมชาติ (Natural) มีสารเคมีในระดับที่ไม่เป็นอันตราย การจัดงานในปีนี้จะจัดภายใต้ แนวคิด “ Organic Lifestyle Happy Society – Community Sustain"
โดยจะแบ่งพื้นที่จัดงานเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าอินทรีย์ (Organic) และมีมาตรฐานสากลรองรับ อีกส่วนหนึ่งจะเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับมาตรฐานในประเทศ และที่เป็นสินค้าธรรมชาติ (Natural) ความคาดหวังของการจัดงานในครั้งนี้ นอกจากจะหวังผลด้านการสั่งซื้อแล้ว ยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิด และที่สำคัญคือจะเป็นการกระตุ้นผู้ประกอบการให้หันมาให้ความสำคัญต่อการทำเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งการนำผลผลิตที่ได้มาผลิตแปรรูปเป็นสินค้าอินทรีย์เพื่อให้เกิดความหลากหลาย
สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญคือ เรื่องมาตรฐานสินค้าอินทรีย์ โดยปัจจุบันประเทศไทยมีทั้งมาตรฐานในประเทศ ซึ่งออกโดยภาครัฐและเอกชน แต่มาตรฐานดังกล่าวก็ยังไม่เทียบเท่ากับมาตรฐานสากล ดังนั้นในอนาคตกระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะผลักดันร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยกระดับมาตรฐานภายในประเทศ ให้ได้เทียบเท่ากับมาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการไทยโดยสามารถผลิตและส่งออกโดยใช้มาตรฐานเดียวได้ เช่นมาตรฐานของประเทศอินเดียที่เทียบเท่ากับมาตรฐานประเทศในอียู สามารถส่งออกได้โดยไม่ต้องไปขอมาตรฐานอียูใหม่
สำหรับ Highlight พิเศษในงาน นอกจากจะมี ASEAN Pavilion ยังมีคูหานิทรรศการ หมู่บ้านออแกนิค (Organic Village) จาก 5 จังหวัดภายใต้การดำเนินงานของกรมการค้าภายใน คือ จังหวัด เพชรบูรณ์ น่าน สุรินทร์ เพชรบุรี และนครปฐม รวมทั้งจะมีการสาธิต และบรรยายที่เรียกว่า Cook & Talk เพื่อให้ความรู้แก่ผู้สนใจตลาดสินค้าออร์แกนิคไทยในปีที่ผ่านมามีมูลค่า รวมกว่า 2,000 ล้านบาท โดย 77.9% เป็นตลาดส่งออก และ 22.1% เป็นตลาดในประเทศ โดยช่องทางตลาดออร์แกนิคในประเทศที่ใหญ่ที่สุด คือ โมเดิร์นเทรด รองลงมาคือ ร้านกรีน และร้านอาหาร
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีโอกาสในการเป็นศูนย์กลางการผลิต และการค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยสูง เนื่องจากเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ รัฐบาลมีนโยบายผลักดันให้เกษตรกร และผู้ประกอบการหันมาให้ความสำคัญในเรื่องนี้ให้มากขึ้น ปัจจุบันมีจำนวนผู้ผลิตสินค้าอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งในปี 59 กระทรวงพาณิชย์ก็มีมาตรการด้านต่างๆเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการให้เข้าสู่ระบบอินทรีย์สากล