รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (19 เม.ย.) ได้มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษา โดยการขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 558) พ.ศ.2556 ซึ่งได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2558 สำหรับการบริจาคให้แก่สถานศึกษาสามารถหักได้ 2 เท่า ออกไปอีก 3 ปี โดยมีรายละเอียดดังนี้
(1) บุคคลธรรมดาที่บริจาคเงินให้แก่สถานศึกษาของราชการและเอกชนโดยไม่รวมโรงเรียนนอกระบบ สามารถนำมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบแล้ว ต้องไม่เกิน ร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่นๆ แล้ว
(2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถานศึกษาของราชการและเอกชนโดยไม่รวมโรงเรียนนอกระบบ สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของจำนวนที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายที่จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบ และรายจ่ายที่จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างและการบำรุงรักษาสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของเอกชนที่เปิดให้ประชาชนใช้เป็นการทั่วไปโดยไม่เก็บค่าบริการใดๆ หรือสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของทางราชการแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิ ก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา ตามมาตรา 65 ตรี (3) แห่งประมวลรัษฎากร
ทั้งนี้ การได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีทั้งหมดข้างต้น มีผลบังคับสำหรับการบริจาคที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561
มาตรการนี้ จะมีส่วนทำให้ภาคเอกชนมีแรงจูงใจในการสนับสนุนการศึกษาเพิ่มมากขึ้น เป็นการสร้างโอกาสทางการศึกษาช่วยให้มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ซึ่งเป็นรากฐานในการขับเคลื่อนประเทศในอนาคตให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และช่วยลดภาระการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล ในด้านการศึกษาได้อีกทางหนึ่งด้วย