นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน เม.ย.59 อยู่ที่ 72.7 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 61.5
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 68.0 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 88.5
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน นับตั้งแต่เดือน ต.ค.58 จากปัจจัยลบคือ ความกังวลปัญหาภัยแล้งที่จะส่งผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตร และรายได้ของประชาชนในภูมิภาค กระทรวงการคลัง ปรับลดจีดีพีปี 59 เหลือ 3.3% ความกังวลความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนปัจจัยบวกสำคัญคือการส่งออก มี.ค.59 เพิ่มต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสงกรานต์ เงินบาทปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อย
นายธนวรรธน์ กลาวว่า ผู้บริโภครู้สึกว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันฟื้นตัวค่อนข้างช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภาวะภัยแล้งและราคาพืชผลทางการเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศยังฟื้นตัวไม่มาก แม้ว่าการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ดี และการส่งออกเริ่มจะฟื้นตัวขึ้นก็ตาม แต่ผู้บริโภคเองยังรู้สึกว่ารายได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคตยังไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก
"ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และต่ำสุดในรอบ 7 เดือน เพราะผู้บริโภคยังรู้สึกว่ามีเงินเข้ากระเป๋าน้อย และยังไม่มั่นใจภาวะเศรษฐกิจรวมทั้งการจ้างงาน...จุดที่เปราะบางของเดือนนี้ (เม.ย.) คือดัชนีความเหมาะสมในการซื้อรถยนต์ใหม่ต่ำสุดในรอบ 78 เดือน หรือเกือบ 7 ปี และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวมที่เกือบหลุดจุดต่ำสุด จากที่เคยลงไประดับ 61.2 ในเดือน ก.ย.58" นายธนวรรธน์ ระบุ
ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ คาดว่าการบริโภคของภาคประชาชนจะยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมากนักในช่วงนี้ เนื่องจากประชาชนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก แต่อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของการบริโภคน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 หรือต้นไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ถ้าสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกคลี่คลายลง
“ตอนนี้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังไม่เป็นทิศทางขาขึ้น เพราะผู้บริโภคขาดความมั่นใจ ไม่กล้าจะจับจ่ายใช้สอย เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงที่จะเติบโตได้ไม่โดดเด่นในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ซึ่งอาจจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวได้ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลัง" นายธนวรรธน์ กล่าว
พร้อมประเมินว่า ในช่วงครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ในกรอบ 2.5-3.0% หรือมีค่ากลางที่ 2.8% ขณะที่ทั้งปียังคงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 3.0-3.5% ปัจจัยที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นได้มาจากสถานการณ์การส่งออกที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นในเดือน ก.พ.และมี.ค.59 นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อในเดือนเม.ย.59 ยังปรับตัวเป็นบวกครั้งแรกในรอบปีกว่านับตั้งแต่เดือน ม.ค.58
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาทองคำแตะระดับ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ ทิศทางตลาดหุ้นยังเป็น sideway up และสุดท้ายราคายางพาราเริ่มปรับตัวดีขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน ซึ่งในจุดนี้จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น