นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ขณะที่ธนารักษ์ได้ดำเนินการสำรวจที่ดินราชพัสดุที่มีศักยภาพและเหมาะสมที่อยู่ในความครอบครองของกรมธนารักษ์เพื่อรองรับโครงการดังกล่าวเพิ่มเติม จำนวน 4 แปลง ได้แก่ ที่ดินราชพัสดุหมายเลขทะเบียน กท.2918 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ, ที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน ปท.666 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี, ที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน นย.287 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี และที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียน ฉช.679 ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
สำหรับที่ดินราชพัสดุจำนวน 6 แปลง ได้แก่ ที่ดินราชพัสดุในพื้นที่กรุงเทพ 2 แปลง จ.เพชรบุรี 2 แปลง จ.เชียงใหม่และ จ. เชียงราย ซึ่งเป็นโครงการนำร่องโครงการธนารักษ์ประชารัฐนั้น โดยหลังจากมีการจัดทำรายละเอียดข้อมูลแล้วเสร็จภายใน 30 วันจะดำเนินการเปิดประกวดโครงการเพื่อสรรหาผู้พัฒนาโครงการต่อไป โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 2 ปี
“หลังจากสรรหาผู้พัฒนาโครงการแล้ว ก็จะเดินหน้าก่อสร้างโครงการในพื้นที่นำร่องทั้งหมดไปพร้อม ๆ กัน โดยคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างเร็วที่สุด 1 ปีครึ่ง แต่ทั้งหมดคงต้องขึ้นอยู่กับการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ว่าจะใช้ระยะเวลานานแค่ไหน โดยเบื้องต้นมีการประเมินว่าโครงการธนารักษ์ประชารัฐในพื้นที่ 6 แปลงนำร่องนั้น จะสามารถสร้างที่อยู่อาศัยได้ทั้งสิ้น 4 พันยูนิต" นายจักรกฤศฎิ์ กล่าว
สำหรับแนวทางการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐนั้น จะมีการปลูกสร้างที่อยู่อาศัยเป็น 2 รูปแบบ โดยรูปแบบที่ 1 โครงการเช่าระยะสั้น (Rental) โดยผู้ประกอบการจะลงทุนก่อสร้างอาคารชุดที่พักอาศัยเพื่อจัดให้เจ้าห้าที่ของรัฐเช่าพักอาศัยเป็นรายเดือน โดยจะดำเนินการในพื้นที่ราชพัสดุแปลงวัดไผ่ตัน และโรงกษาปณ์เก่า ถนนประดิพันธ์ กำหนดเกณฑ์ผู้เช่าต้องมีรายได้ไม่เกิน 2 หมื่นบาทต่อเดือนในวันที่ยื่นขอรับสิทธิ์ ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 4 พันบาทต่อหน่วย และสามารถพักอาศัยได้เป็นเวลา 5 ปี เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงรุ่นผู้อยู่อาศัย โดยผู้ประกอบการเป็นผู้ลงทุนก่อสร้าง และจะได้สิทธิการเช่าที่ดินราชพัสดุและการบริหารอาคารชุดพักอาศัย ระยะเวลา 30 ปี
รูปแบบที่ 2 โครงการเช่าระยะยาว (Leasehold) ผู้ประกอบการลงทุนก่อสร้างที่อยู่อาศัย อาทิ บ้านแถว บ้านเดี่ยว อาคารชุดพักอาศัย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ และประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง โดยพื้นที่ราชพัสดุที่ จ. เชียงใหม่ จะให้เฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านกฎหมายผังเมืองกำหนดเป็นพื้นที่สีน้ำเงิน ใช้เพื่อประโยชน์ในราชการ ส่วนแปลงที่จ. เชียงราย และอีก 2 แปลงที่จ. เพชรบุรีนั้น จะให้สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชน โดยราคาที่อยู่อาศัยไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อหน่วย บ้านแถว หรือบ้านเดี่ยวต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 48 ตารางเมตรและอาคารชุดพักอาศัยมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 24 ตารางเมตร และได้กรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยและสิทธิการเช่าที่ดินราชพัสดุระยะเวลา 30 ปี
ส่วนกรณีซ่อมแซมและต่อเติมที่อยู่อาศัยบนที่ดินราชพัสดุนั้น สามารถมาขอสินเชื่อได้เช่นกัน โดยจะธนาคารที่เกี่ยวข้องจะปล่อยสินเชื่อให้ไม่เกิน 5 แสนบาทต่อหน่วย โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้เช่ารายย่อย กรณีวงเงินกู้ไม่เกิน 5 แสนบาท ปีที่ 1 คิดอัตราดอกเบี้ย 0% หรือเป็นการผ่อนชำระ 2.1 พันบาทต่อเดือน ปีที่ 2-3 คิดอัตราดอกเบี้ย 2% หรือเป็นการผ่อนชำระ 2.1 พันบาทต่อเดือน ปีที่ 4-6 คิดอัตราดอกเบี้ย 5% หรือเป็นการผ่อนชำระ 2.9 พันบาทต่อเดือน และปีที่ 7-30 คิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยรายย่อยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.2 พันบาทต่อเดือน สวัสดิการ 3.1 พันบาทต่อเดือน
กรณีกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท ปีแรกคิดอัตราดอกเบี้ย 0% หรือเป็นการผ่อนชำระ 4.2 พันบาทต่อเดือน ปีที่ 2-3 คิดอัตราดอกเบี้ย 2% หรือเป็นการผ่อนชำระ 4.2 พันบาทต่อเดือน ปีที่ 4-6 คิดอัตราดอกเบี้ย 5% หรือเป็นการผ่อนชำระ 4.8 พันบาทต่อเดือน ส่วนปีที่ 7-30 คิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยรายย่อยคิดเป็นการผ่อนชำระ 6.4 พันบาทต่อเดือน สวัสดิการ 6.2 พันบาทต่อเดือน
อย่างไรก็ดี ธอส. และ ธนาคารออมสิน ได้เตรียมวงเงินเพื่อปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 4 พันล้านบาท (ธนาคารละ 2 พันล้านบาท) ระยะเวลา 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 4% รวมทั้งได้เตรียมวงเงินเพื่อปล่อยสินเชื่อให้กับรายย่อย จำนวน 5 พันล้าบาท (ธนาคารละ 2.5 พันล้านบาท) ระยะเวลา 30 ปี
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เปิดเผยภายหลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ โดยกรมธนารักษ์ ร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสินว่า โครงการดังกล่าวเพื่อเป็นการรองรับความต้องการของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและข้าราชการ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยประชาชนที่สนใจสามารถสอบถามเพื่อเข้าร่วมโครงการได้กับทั้ง 2 ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งมีหน่วยเพื่อรับจองสิทธิ์และสอบถามรายละเอียดรวมกันกว่า 1.3 พันหน่วยทั่วประเทศ