พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยเห็นชอบในร่างสัญญาแบ่งปันผลผลิตเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) แปลง B-17-01 ในพื้นที่พัฒนาร่วม ไทย-มาเลเซีย ระหว่างองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย กับบริษัทผู้ได้รับสัญญา คือ บริษัท PC JDA Limited. (PC JDAL) และบริษัท PTTEP International Limited ในกลุ่มบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP)
พร้อมกันนี้ ยังเห็นชอบให้องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ลงนามในร่างสัญญาแบ่งปันผลผลิตเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) แปลง B-17-01 กับบริษัทผู้ได้รับสัญญา เมื่อร่างสัญญาฯ ได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) แล้ว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในสัญญาของการสำรวจผลิตในพื้นที่ดังกล่าว จะใช้หลักแบ่งปันผลผลิต กล่าวคือ น้ำมันที่ขุดเจาะได้จะถูกหักไปเป็นต้นทุนในการสำรวจที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 50% ซึ่งปรากฎว่าตั้งแต่ปี 47 เป็นต้นมา มีการสำรวจเพิ่มเติมในพื้นที่ของแผนพัฒนาระยะที่ 4 ซึ่งเป็นแหล่งย่อยอยู่ในแปลง B-17-01 ดังนั้นเมื่อมีการลงทุนสำรวจเพิ่มเติม จึงได้มีการพิจารณาสัญญาที่เคยมีไว้ต่อกันระหว่างทั้ง 2 บริษัท ของไทย-มาเลเซียว่า ถ้าหากต้นทุนไม่เกิน 50% และอายุสัญญาสิ้นสุดในปี 72 บางทีอาจทำให้หักต้นทุนที่ลงไปในการสำรวจไม่ครบ และจากสัญญาที่เขียนไว้เดิมนั้น เงินทุนสำหรับการสำรวจจะต้องขอคืนทั้งหมด เพราะเป็นกฎกติกาของการแบ่งปันผลผลิต
ทั้งนี้ 2 บริษัทเห็นว่าเมื่อสิ้นสุดสัญญาในปี 72 ถ้าให้หักต้นทุนได้ไม่เกินปีละ 50% เมื่อถึงสิ้นปี 72 อาจจะหักทุนคืนได้ไม่ครบ ซึ่งถึงอย่างไรก็แล้วแต่ ในปี 72 ซึ่งเป็นปีสุดท้าย ก็ต้องคืนทุนจนครบ ไม่จ่ายตอนนี้ก็ต้องจ่ายปีสุดท้าย ดังนั้นเมื่อเทียบเคียงกันแล้ว การทยอยจ่ายตั้งแต่ปี 47 เป็นต้นมา จะดีกว่าไปจ่ายทุนคืนให้ครั้งเดียวในปี 72 เพราะทั้ง 2 บริษัท คือ PC JDA และ ปตท.สผ. ถ้าได้ทุนคืนเร็ว จะมีเงินทุนพอสำรวจแหล่งอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งพอสำรวจได้มากขึ้น จะมีรายได้กลับมายังองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย
"วันนี้ จึงมาขอทุนคืนให้มากกว่าข้อตกลงเดิมที่กำหนดไว้ จากเดิมไม่เกิน 50% มาเป็นไม่เกิน 60% ต่อปี สิ่งที่ ครม.มีมติวันนี้ ไม่ได้ต้องการเอื้อประโยชน์ให้แก่ 2 บริษัท เพราะถ้าเราไม่จ่ายวันนี้ เราก็ต้องจ่ายในปีสุดท้ายอยู่ดี แต่การทยอยจ่ายวันนี้จะมีประโยชน์ต่อทั้งไทย และมาเลเซียมากกว่าที่จะจ่ายทุนคืนในปีสุดท้ายปีเดียว ซึ่งมติครม.เห็นชอบ" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ