นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า ธพ.ได้ออกกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดคุณสมบัติและการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยของสถานประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภท โดยได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 พ.ค.นี้
สาระสำคัญของกฎกระทรวงดังกล่าวจะครอบคลุมถึงผู้ประกอบการคลัง รถขนส่ง ท่อ ร้านจำหน่าย และสถานีบริการ ของธุรกิจน้ำมัน ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) โดยเฉพาะสถานีบริการน้ำมันและรถขนส่งน้ำมัน ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่มีกฎหมายบังคับใช้ ดังนั้นภายหลังจากกฎกระทรวงฉบับนี้บังคับใช้จะครอบคลุมทั้งหมด ซึ่งผู้ประกอบการนั้นๆ จะต้องส่งพนักงานเข้าอบรมอย่างน้อย 1 คนต่อแห่ง
นอกจากนี้กฎหมายดังกล่าวได้กำหนดระยะเวลาให้ผู้ประกอบการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการต้องส่งพนักงานเข้ารับการอบรมภายใน 2 ปีนับจากวันประกาศกรมธุรกิจพลังงานมีผลบังคับใช้ หากพ้นกำหนดผู้ประกอบการมีโทษตามกฎหมาย มาตรา 66 จำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับเงินไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเมื่อถึงวาระการต่ออายุใบอนุญาต หากไม่มีผู้ปฏิบัติงานจะไม่ได้รับการต่ออายุใบอนุญาต ต้องขออนุญาตใหม่
อธิบดี ธพ. เชื่อว่า กฎหมายฉบับนี้จะทำให้ธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงมีการพัฒนามาตรฐานด้านความปลอดภัย ตั้งแต่การจัดเก็บ การขนส่ง และการให้บริการกับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาปัญหาที่พบส่วนใหญ่คือการคุยโทรศัพท์ขณะเดิมน้ำมันและก๊าซจนอาจก่อให้เกิดประกายไฟ ดังนั้นภายหลังจากกฎกระทรวงบังคับใช้ พนักงานจะต้องชี้แจงผู้รับบริการเพื่อให้ปฏิบัติตามขั้นตอนความปลอดภัย
ด้านนายสุรพงษ์ พงษ์สุวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้จะครอบคลุมทุกประเภทกิจการน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเดิมกฎหมายยังครอบคลุมเพียงธุรกิจก๊าซปิโตรเลียม และก๊าซธรรมชาติบางส่วนเท่านั้น ส่วนที่เพิ่มเติมในกฎหมายฉบับนี้คือธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจก๊าซธรรมชาติส่วนที่ยังไม่ครอบคลุม ทั้งนี้ส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้ ประกอบด้วย ผู้ฝึกอบรม วิทยากร และผู้ปฏิบัติงาน โดยผู้ฝึกอบรมและวิทยากรต้องมีคุณสมบัติตามข้อกำหนด และต้องได้รับใบรับรองจากกรมธุรกิจพลังงาน ในส่วนผู้ปฏิบัติงาน ต้องผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นตามประเภทของกิจการที่ระบุไว้ รวม 23 กิจการ ซึ่งจำนวนสถานประกอบการทั่วประเทศที่ต้องมีผู้ปฏิบัติงาน รวมกว่า 38,000 แห่ง คาดว่าจะมีผู้ปฏิบัติงานที่ต้องเข้ารับการอบรมกว่า 100,000 คน โดยจะทยอยเข้าอบรมภายใน 2 ปี