นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ดำเนินการส่งเสริมและให้ความสำคัญกับธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) เนื่องจากเป็นธุรกิจที่อยู่ในความนิยมของผู้บริโภคและวงการการค้าโลก โดยมีอัตราการขยายตัวและการเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด
ซึ่งผลสำรวจของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ในปี 2558 พบว่า ประเทศไทยมีร้านค้าออนไลน์อยู่ 502,676 ราย สร้างมูลค่าทางการตลาดกว่า 2.1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ถึง 3.7%
"กระทรวงฯ ได้กำหนดนโยบายนำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการค้าแบบไร้พรมแดนเข้ามาช่วยในการเพิ่มศักยภาพด้านการตลาดและส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ชุมชนของไทย เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่สินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนไทยให้เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะการทำการตลาดผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นรูปแบบการค้าที่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ/สังคม และพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนในยุคปัจจุบันที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว สามารถเข้าถึงสินค้าได้ทุกที่ทุกเวลา" นางอภิรดี กล่าว
ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้สร้างเว็บไซต์ ThaiCommerceStore.com เพื่อเป็นตลาดกลางผลิตภัณฑ์ชุมชนออนไลน์มาตั้งแต่ปี 2557 โดยได้รวบรวมผู้ประกอบธุรกิจผลิตภัณฑ์ชุมชนของไทย ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์จากศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ สินค้า OTOP, Organic, Halal, GI (สินค้าที่เป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) และ Fairtrade (การค้าที่ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย) ซึ่งปัจจุบันมีร้านค้าออนไลน์ที่เข้าร่วมแล้วจำนวน 1,324 ร้านค้า ผู้บริโภคโดยสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชนได้อย่างสะดวกสบายหลากหลายช่องทางตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคดิจิตอล ได้แก่ เว็บไซต์ www.thaicommercestore.com และ Application: Thai Commerce Store สามารถเข้าระบบได้ทั้งคอมพิวเตอร์ และ Smart Phone
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การสร้างตลาดกลางผลิตภัณฑ์ชุมชนออนไลน์ ThaiCommerceStore.com ไม่เพียงแต่สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy) ของรัฐบาล ที่ต้องการให้ผู้ประกอบธุรกิจหรือธุรกิจ SMEsได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ไปใช้ในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น ยังรวมถึงการนำ e-Commerce ไปใช้เพื่อขยายโอกาสทางการตลาด เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผลิตภัณฑ์ชุมชนของไทยในระยะยาว โดยในที่สุดมูลค่าทางการค้าก็คือ รายได้ที่กลับคืนสู่ชุมชนส่งผลต่อความอยู่ดีกินดี อันจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ท้องถิ่นและเศรษฐกิจของประเทศต่อไป