พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานและปาฐกถาพิเศษแสดงวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลว่า รัฐบาลจะเร่งวางรากฐานการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิตอลของประเทศให้มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม เพื่อนำพาไปสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 และเป็นรากฐานของการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และสอดคล้องต่อแนวทางการปฏิรูปในระยะยาว
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมาขับเคลื่อน และได้ผลักดันกฎหมาย 7 ฉบับที่จะส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
"สิ่งสำคัญต้องทำให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและเกิดการปรับตัวในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล ที่จะเข้ามามีส่วนช่วยในการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ เช่นเศรษฐกิจ การศึกษา การเชื่อมโยงของภูมิภาค การเชื่อมโยงไทยกับโลก การท่องเที่ยวและการเกษตรที่ต้องเทคโนโลยีติจิตอลจะมีส่วนช่วยในเรื่องของการบริหารจัดการ การผลิต การตลาดและการรวมกลุ่ม"
นายกฯ กล่าวต่อว่า การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมต้องบรูณาการทำงานของแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และเปิดช่องทางผ่านทางสื่อออนไลน์และแอพพลิเคชั่นที่รัฐบาลได้ทำขึ้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้ และอยากให้ทุกคนรู้จักเลือกใช้ประโยชน์จากโลกออนไลน์ ใช้ดิจิตอลให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และสร้างรายได้ให้สูงขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมหัวเว่ย ที่เลือกให้ไทยเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่และศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของภูมิภาค และสนใจขยายความร่วมมือการพัฒนาระบบสื่อสารดิจิทัลในไทย ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันการขับเคลื่อนประเทศด้วยเศรษฐกิจดิจิตัล ภายใต้นโยบาย Thailand 4.0 เพราะจะต้องมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อประโยชน์ในมิติต่างๆ ทั้งการส่งเสริมการศึกษา การพัฒนาการเกษตร และการค้าและการบริการ
ด้านนางเฉิน ลี่ฟาง รองประธานอาวุโส บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี จำกัด (Huawei Techonologies Co., Ltd.) กล่าวถึงการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยว่า บริษัท ฯ มีความตั้งใจที่จะใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการดำเนินงาน ในภูมิภาคอาเซียนทั้งการวางแผน การวิจัยและพัฒนา และ ร่วมส่งเสริมและพัฒนาระบบ Broadband และ Data Center ในไทย โดยร่วมมือกับหน่วยงานของไทยในการพัฒนาบุคลากรและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยอย่างเต็มที่ ซึ่งสำนักงานในไทย จะเป็นทั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาและศูนย์แสดงนวตกรรมและสัมมนา ซึ่งจะมีผู้ให้ความสนใจทั่วโลกเดินทางมาประชุมและศึกษาดูงานของบริษัทฯ และการเข้าพบนายกรัฐมนตรีไทย ยิ่งทำให้เกิดความเชื่อมั่นในนโยบายและมาตรการของรัฐบาลในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและพร้อมที่สนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ Start-up ของไทยอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 5 ปี ของการดำเนินงานบริษัท ได้มีขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง จากบุคลากร 1,200 คนปัจจุบันมีพนักงาน 1,900 คน และใช้งบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างภายในประเทศไปแล้วกว่า 650 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และในปีหน้า บริษัทฯ ได้จัดสรรงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างปีหน้าสูงถึง 180 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ