พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังนายเพเทอร์ พรือเกล เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย นำคณะผู้แทนภาคเอกชนเยอรมันในประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือเศรษฐกิจไทย-เยอรมัน และแนวทางการรับมือกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจใหม่ๆ ในระดับภูมิภาคและระดับโลก
โดยนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับคณะนักธุรกิจเยอรมันในประเทศไทย จากบริษัทชั้นนำจำนวน 58 ราย ซึ่งถือเป็นมิตรสำคัญของไทย ซึ่งทั้งสองประเทศมีการค้าการลงทุนกันมายาวนาน และหวังว่าภาคเอกชนเยอรมันจะขยายการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้เยอรมันเป็นคู่ค้าที่มีมูลค่าการค้าอันดับที่ 1 ของไทยในสหภาพยุโรป มีนักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนในเยอรมนีหลายราย โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม เครื่องประดับ และห้างสรรพสินค้า และปัจจุบันมีบริษัทเยอรมันมากกว่า 600 บริษัทในประเทศไทย
สำหรับสถานการณ์ภายในประเทศของไทยนั้น นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ไทยยึดมั่นในการดำเนินการตาม Roadmap โดยสร้างรากฐานด้วยการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปในระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืน โปร่งใส ปราศจากการทุจริต และมีธรรมาภิบาล และยืนยันว่าไทยยังคงดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเสรี มุ่งส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ
พล.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึง นโยบายเศรษฐกิจของไทยว่า ไทยต้องการพัฒนาสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุล คือพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศให้เติบโตควบคู่กับการส่งออก ด้วยการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ SMEs ไทยต้องการเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตโดยสร้างมูลค่าจากนวัตกรรม เน้นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความสามารถในการแข่งขัน
พร้อมกันนี้ ไทยยินดีสนับสนุนให้เยอรมนีขยายเศรษฐสัมพันธ์กับไทยในทุกด้าน โดยเฉพาะให้ภาคเอกชนเยอรมันเข้ามาลงทุนในประเทศไทยใน Super Clusters การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การสร้างโครงข่ายรถไฟฟ้า และรถไฟเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน และการสร้างท่าเรือน้ำลึกที่อู่ตะเภา เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินและการขนส่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี หวังให้เยอรมนีสนับสนุนการจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยและสหภาพยุโรป ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการค้าและการลงทุน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายด้วย
ด้านเอกอัครราชทูตเยอรมนี แสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้เข้าพบในวันนี้ และยินดีที่ประเทศไทยมีความสงบเรียบร้อย และเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะนำประเทศเดินหน้าตาม Roadmap พร้อมระบุว่าความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีและไทยที่มีมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าสถานการณ์การเมืองไทยจะเป็นอย่างไร เยอรมนีพร้อมจะเป็นเพื่อนกับประเทศไทย พร้อมทั้งได้ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ดูแลภาคเอกชนเยอรมนีที่มาลงทุนในไทยเป็นอย่างดีด้วย
ในโอกาสนี้นักธุรกิจชั้นนำจากเยอรมนี แสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรี และกล่าวว่าเยอรมนีเข้าใจถึงสถานการณ์ของไทยเป็นอย่างดี และยินดีที่จะลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง และหวังให้รัฐบาลผลักดันมาตรการที่เอื้อต่อการลงทุนของเยอรมนีในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนของภาคเอกชนเยอรมนีในไทยต่อไป และพร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ในการพัฒนาการค้าการลงทุน โดยหลายบริษัทแสดงความประสงค์ที่จะขยายการลงทุนในประเทศไทย พร้อมทั้งยินดีถ่ายทอดความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในสาขาที่เยอรมนีมีความเชี่ยวชาญ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย และเห็นว่าไทยเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนที่สำคัญ และยังมีศักยภาพในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการแพทย์และการสาธารณสุข การท่องเที่ยว การบริการ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี วันนี้นี้มีผู้แทนภาคเอกชนเยอรมนี 6 ราย เป็นผู้แทนคณะ กล่าวแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1. การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย บริษัท BMW Group Thailand 2. การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและการลงทุนในพลังงานทดแทน บริษัท Retech Energy 3. ความร่วมมือด้านการเกษตร บริษัท Bayer CropScience Business Group 4. ความร่วมมือด้านการอาชีวศึกษา บริษัท Mercedes-Benz 5. การส่งเสริมการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา บริษัท Bosch Automotive และ 6. ความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท Siemens