นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ) ยังคงอยู่ในเกณฑ์น้อย เนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูฝน ปริมาณฝนที่ตกลงมายังไม่กระจายมากนัก ทำให้มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างฯยังน้อย ปัจจุบันทั้ง 4 เขื่อน มีปริมาณน้ำรวมกัน 8,080 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 32 ของความจุอ่างฯรวมกัน มีน้ำใช้การได้ประมาณ 1,384 ล้านลูกบาศก์เมตร ยังคงการระบายน้ำลงมารวมกันประมาณวันละ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร สำหรับการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศเป็นหลัก
ส่วนภาคการเกษตรนั้นขอให้รอฝนตกลงมาอย่างสม่ำเสมอมากกว่านี้ จึงค่อยลงมือทำการเพาะปลูกพืชฤดูฝน ซึ่งกรมชลประทานจะใช้อาคารชลประทานต่างๆ ควบคุมน้ำท่าให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ในการส่งน้ำเข้าระบบชลประทานไปยังพื้นที่การเกษตรได้อย่างทั่วถึง ช่วยลดการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำต่างๆในช่วงฤดูฝน และเก็บกักน้ำในเขื่อนไว้ใช้ในฤดูแล้งหน้าให้มากที่สุดด้วย
ขณะที่พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า หลังจากกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศให้วันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา เป็นวันเริ่มต้นฤดูฝนปี 59 ขณะนี้ทั่วทุกภาคมีปริมาณฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ยกเว้นภาคใต้ฝั่งตะวันตก และเมื่อเทียบกับปี 58 ทั่วทุกภาคจะมีปริมาณฝนตกสูงกว่าปี 58 ยกเว้นภาคใต้ฝั่งตะวันออก
ส่วนสถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทั่วประเทศปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 31,255 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 44 ของความจุอ่างฯรวมกัน มีปริมาณน้ำใช้การได้ประมาณ 7,814 ล้านลูกบาศก์เมตร หากเปรียบเทียบกับปี 58 ณ วันเดียวกันจะเห็นว่าในปีนี้มีปริมาณน้ำน้อยกว่าประมาณ 2,641 ล้านลูกบาศก์เมตร
โดยเขื่อนขนาดใหญ่ทั้งประเทศยังสามารถรองรับน้ำได้อีกกว่า 39,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งได้กำชับให้ทุกโครงการชลประทานทั่วประเทศเก็บกักน้ำไว้ในอ่างเก็บน้ำต่างๆ ให้ได้มากที่สุด โดยให้สอดคล้องกับปริมาณฝนที่ตกลงมาและไม่กระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายเขื่อน พร้อมกันนี้ได้เร่งสั่งการให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรเน้นปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อเติมน้ำในเขื่อนโดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล ซึ่งจะย้ายฐานปฏิบัติการจากหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จ.พิษณุโลก ไปยัง จ.ตาก อีกด้วย