ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากสถานการณ์ภัยแล้งที่คุกคามหลายพื้นที่ของไทยมาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนต่อเนื่องมาในปี 59 ได้สร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรสำคัญหลายรายการ ทำให้ผลผลิตขาดตลาด ส่งผลให้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ได้เห็น การขยับขึ้นของราคาสินค้าเกษตรอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลดีต่อเกษตรกรที่มีผลผลิตในมือให้ได้รับอานิสงส์
"ผลจากภัยแล้งผนวกกับผลของฤดูกาล ทำให้สินค้าเกษตรได้รับความเสียหายจนผลผลิตขาดตลาดไม่เพียงพอต่อความต้อง การ จึงดันราคาสินค้าเกษตรบางรายการให้ปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค.2559 ที่ราคาขยับขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อ เทียบกับช่วงที่ราคาลงไปต่ำสุดในเดือนม.ค.-ก.พ.2559 ทั้งข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน" เอกสารศูนย์วิจัยฯ ระบุ
อย่างไรก็ดี การที่ราคาสินค้าเกษตรที่ขยับขึ้นดังกล่าวนั้นจะสามารถยืนรักษาระดับไว้ได้จนถึงสิ้นปีนี้ ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัย แวดล้อมต่างๆ ทั้งปัจจัยภายในประเทศอย่างสถานการณ์น้ำฝนที่จะส่งผลต่ออุปทาน และปัจจัยนอกประเทศอย่างราคาน้ำมันในตลาด โลก ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ราคาสินค้าเกษตรที่ขยับขึ้นในช่วงภัยแล้งดังกล่าว อาจ มีสินค้าเกษตรบางรายการที่ยังสามารถยืนรักษาระดับราคาที่ดีต่อไปได้จนถึงสิ้นปี และมีสินค้าเกษตรที่อาจได้รับแรงหนุนจากผลของ ปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้ราคาไม่สามารถยืนต่อไปได้และอาจปรับลดลงในช่วงที่เหลือของปี
สำหรับสินค้าข้าว คาดว่าในปี 59 ราคาน่าจะขยับขึ้นกว่าปีก่อนเล็กน้อยอยู่ที่ราว 7,900 บาทต่อตัน หรือเพิ่มขึ้น 1.9% (YoY) จากผลของภัยแล้ง อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงด้านอุปสงค์จากต่างประเทศ
ปาล์มน้ำมัน คาดว่า ราคาน่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี คาดราว 5 บาทต่อกิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.5 (YoY) จากความ ต้องการใช้ปาล์มน้ำมันที่มีรองรับทั้งในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน ซึ่งปริมาณการผลิตยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการในปีนี้
ขณะที่ยางพารา คาดว่าราคายางแผ่นดิบชั้น 3 จะอยู่ที่ราว 41 บาทต่อกิโลกรัม หรือลดลงร้อยละ 9.2 (YoY) เนื่อง จากผลผลิตยางพารายังคงเพิ่มขึ้น แม้จะประสบภัยแล้งและอากาศร้อนจัดช่วงต้นปี อีกทั้งการควบคุมอุปทานยางผ่านมาตรการภาครัฐ ด้วยการโค่นต้นยาง จะสามารถลดอุปทานได้ส่วนหนึ่ง แต่ผลผลิตยางยังอยู่ในระดับสูง แม้คาดว่าราคาน้ำมันตลาดโลกในช่วงที่เหลือ ของปีนี้จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ราว 45-50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล แต่ผลของอุปสงค์ที่ชะลอตัวเทียบกับอุปทานที่ยังคงสูงน่าจะมี มากกว่าผลของราคาน้ำมัน
ส่วนมันสำปะหลัง แม้ผลผลิตทั้งปีอาจลดลงไปอยู่ที่ 28 ล้านตัน (ปี 2558 อยู่ที่ 32 ล้านตัน) แต่ด้วยแนวโน้มราคาน้ำมัน ตลาดโลกที่ไม่สูงนัก และมาตรการการใช้ข้าวโพดของจีน จะยังเป็นแรงกดดันสำคัญต่อราคามันสำปะหลังในปีนี้
จากมุมมองต่อแนวโน้มราคาสินค้าเกษตรหลักในระยะที่เหลือของปี 2559 ดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการกลางและปลาย น้ำที่ใช้ข้าว และปาล์มน้ำมันเป็นวัตถุดิบ อาจมีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการกลางและปลายน้ำที่ใช้ยางพารา และมัน สำปะหลังเป็นวัตถุดิบ อาจมีต้นทุนถูกลง อย่างไรก็ดี บางพื้นที่/จังหวัด อาจมีปัจจัยเฉพาะในรายละเอียดที่แตกต่างจากภาพรวมได้ เช่น ปริมาณน้ำ ผลผลิตต่อไร่ เป็นต้น ดังนั้น ผู้ประกอบการควรมีการเตรียมพร้อม เพื่อวางแผนในการบริหารด้านต้นทุนการผลิตอย่าง เป็นระบบ อันจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อกำไรของธุรกิจในภาวะที่ราคาสินค้าเกษตรยังคงมีความผันผวน
นอกจากนี้ เมื่อหันกลับมามองด้านความเป็นอยู่ของเกษตรกร ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ราคาสินค้าเกษตรที่พุ่งสูงขึ้น ในช่วงภัยแล้ง จะช่วยหนุนราคาให้เกษตรกรที่มีสินค้าในมือได้รับอานิสงส์ แต่ในภาพรวม ด้วยผลลบจากปริมาณผลผลิตที่เสียหายไปจาก ภัยแล้ง น่าจะมีมากกว่าผลบวกจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคา ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ยังอาจต้องเผชิญกับปัญหารายได้เกษตรกรที่อยู่ใน ระดับต่ำต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ส่งผลกระทบต่อไปยังภาคธุรกิจที่ต้องอาศัยกำลังซื้อฐานรากให้ต้องเผชิญความท้าทายเช่นกัน อาทิ ธุรกิจค้า ปลีก ร้านอาหาร ธุรกิจบริการทางการเกษตร รวมถึงสินค้าเกี่ยวเนื่อง อาทิ รถจักรยานยนต์ ที่ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2559 ยอดขายรถจักรยานยนต์หดตัว 7.7% (YoY) เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการควรมีการเร่งขยายช่องทางการตลาด อาทิ การประชา สัมพันธ์ จัดโปรโมชั่นผ่อนชำระสินค้าด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ และขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมจากลูกค้ากลุ่มเกษตรกร เพื่อให้เข้าถึงผู้ บริโภคที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น