นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสำนักงานส่งเสริมค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงพนมเปญว่า แนวโน้มความต้องการสินค้าเกษตรในกัมพูชาจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการผลิตภายในประเทศเผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ผลผลิตตกต่ำ และปัญหาภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งคาดการณ์ว่าจะมีการอพยพโยกย้ายแรงงานจากภาคเกษตรสู่ภาคอุตสาหกรรมถึง 40% ในอีก 10 ปีข้างหน้า
ประกอบกับรัฐบาลกัมพูชามีนโยบายส่งเสริมการลงทุนภาคอุตสาหกรรม เร่งปรับปรุงนโยบายและกฎระเบียบต่างๆ เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบายส่งเสริมให้มีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร เพื่อขจัดปัญหาความยากจน ทำให้ภาคเกษตรมีความต้องการเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ทางการเกษตร เพื่อใช้ทดแทนแรงงานที่หายไป จึงน่าจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะขยายตลาดสินค้าเกษตร และเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ทางการเกษตร รวมทั้งการลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปทางการเกษตรได้เพิ่มขึ้น
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า นโยบายส่งเสริมการลงทุนภาคอุตสาหกรรมจากต่างประเทศของกัมพูชา จะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนและนักธุรกิจไทยในหลายมิติ หากพิจารณามิติทางด้านการลงทุนพบว่า นโยบายดังกล่าวส่งผลให้เกิดการโยกย้ายแรงงานจากภาคการเกษตรสู่ภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กัมพูชามีความพร้อมด้านทรัพยากรแรงงานภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น ประกอบกับค่าแรงงานที่จูงใจ จึงน่าจะเป็นปัจจัยที่จะดึงดูดการเข้ามาลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการไทยควรใช้โอกาสนี้ในการพิจารณาวางแผนขยายการลงทุนในกัมพูชาให้มากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป
สำหรับมิติด้านการส่งออก รัฐบาลกัมพูชาส่งเสริมให้มีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร เพื่อขจัดปัญหาความยากจน ทำให้ภาคเกษตรต้องการเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ทางการเกษตร เพื่อใช้ทดแทนแรงงานที่หายไป ซึ่งไทยมีศักยภาพในการผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรที่มีคุณภาพดี และมีทำเลที่ตั้งติดกับกัมพูชาส่งผลให้มีความได้เปรียบด้านต้นทุนค่าขนส่ง จึงน่าจะเป็นโอกาสในการขยายตลาดสินค้ากลุ่มนี้ของไทยในกัมพูชาด้วย
นอกจากนี้ จากสภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้ชาวกัมพูชามีรายได้เพิ่มขึ้น มีวิถีชีวิตที่ให้ความใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะผู้บริโภคในตลาดระดับบนเริ่มให้ความสนใจซื้อหาสินค้าเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะผักและผลไม้ปลอดสารพิษ แต่เนื่องจากปัจจุบันการผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงทำให้กัมพูชานำเข้าผักผลไม้จากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เวียดนาม ไทย และจีน เฉลี่ย 400 กก./วัน หรือทั้งปีมีมูลค่านำเข้าสูงถึงปีละกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จึงนับเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพในกัมพูชา ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ