นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "อนาคตไทยกับทศวรรษใหม่แห่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน" ในงาน EIC Conference 2016 : จับตาการลงทุนภาครัฐ-เอกชน แรงส่งเศรษฐกิจระลอกใหม่ ว่า จะเริ่มเห็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จะลงสู่ระบบมากขึ้น โดยคาดว่าภายในเดือนมิ.ย.นี้ จะสามารถเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย และจนถึงสิ้นปีจะมีเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐออกมามากขึ้น และพยายามกระตุ้นให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือ PPP เพื่อรัฐบาลจะได้มีเงินเหลือไปช่วยเกษตรกรที่ยังยากลำบาก ขณะเดียวกันคาดว่าในปีนี้จะมีเม็ดเงินจากการลงทุนโครงการด้านดิจิทัล 15,000 ล้านบาท จากวงเงินลงทุน 5 ปี รวม 500,000 ล้านบาท
ส่วนแผนระยะยาวใน 5 ปีนั้น ภาครัฐยังมีการลงทุนด้านพลังงาน 2.5 ล้านล้านบาท และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ 2.5 ล้านล้านบาท รวมการลงทุนของภาครัฐในระยะ 5 ปี รวมทั้งสิ้น 5.5 ล้านล้านบาท เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของประเทศในระยะยาว
รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า สิ่งสำคัญที่รัฐบาลดำเนินการอย่างจริงจังคือ การปฏิรูปประเทศในทุกด้าน เพราะรัฐบาลไม่ต้องการเห็นคนไทยมีความเป็นอยู่ที่ลำบาก และจะพยายามประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัว ลดความเหลื่อมล้ำ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยการปฏิรูปสิ่งแรกที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การปฏิรูปด้านการเกษตร การเพิ่มมูลค่าสินค้า ชุมชนต้องเข้มแข็ง สินค้าชุมชน และท่องเที่ยวชุมชน
ส่วนการปฏิรูปด้านอุตสาหกรรมนั้น จะต้องเร่งส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ๆ โดยจะร่วมมือกับองค์กร หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน มหาวิทยาลัยผ่านกลุ่มอุตสาหกรรมคลัสเตอร์ต่างๆ และเพิ่มงานวิจัยเพื่อสงเสริมให้เกิดนวัตกรรมและสินค้าใหม่ๆ ในประเทศ พยายามสร้างอุตสาหกรรมเก่าให้มีคอนเทนท์ใหม่ๆ มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น อาหารแห่งอนาคต หุ่นยนต์แห่งอนาคต ด้านการบิน ปิโตรเคมีชั้นสูง โดยจะมีการนำโมเดลที่ญี่ปุ่น และเกาหลีมาใช้ เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่มาเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
นอกจากนี้ จะเดินหน้าการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม เนื่องจากในปัจจุบันพบว่าประเทศไม่ได้พัฒนาได้จากการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องมีการปฏิรูปในเรื่องอื่นๆ ควบคู่กัน เช่น ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข แหล่งเรียนรู้ต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ คือ ตัวหล่อหลอมจิตใจ โดยสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการก่อนหน้า คือ การอัดฉีดเงินลงสู่ภาคชนบท 35,000 ล้านบาท เพื่อไปลงทุนในโครงการชุมชนที่มีความจำเป็น เช่น แหล่งน้ำ ยุ้งฉาง ฝาย เป็นต้น รวมถึงการดูแลในส่วนของเด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ จะต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเมือง เนื่องจากหัวใจของโลกที่มีการเมืองแข็งแรงได้ คือ มีภาคประชาสังคมที่แข็งแรง ซึ่งเป็นการรวมกันระหว่างระหว่างภาครัฐ ประชาชน และเอกชน จนทำให้เกิดทุนทางสังคม เกิดความเชื่อมั่นระหว่างกันในสังคม และมีความรับผิดชอบร่วมกัน
นายสมคิด มองว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยเริ่มปรับฟื้นตัว มีทิศทางเป็นบวก ดูจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาสแรกที่ผ่านมาขยายตัวได้ 3.2% โดยมาจากการขับเคลื่อนการลงทุนในโครงการต่างๆ ของรัฐบาล และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดี และต่างชาติเริ่มกลับมาสนใจลงทุนเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ด้านการส่งออกนั้น ยังไม่สามารถควบคุมได้ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว ทั้งจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ที่ยังดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ จึงทำให้การส่งออกได้รับผลกระทบ ประกอบกับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางที่เป็นตลาดส่งออกหลัก ยังมีปัญหาในเรื่องของรายจ่ายมากกว่ารายรับ ส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์ของไทยด้วย
ขณะที่จีนมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วจากการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ และการส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เพื่อให้เกิดนวัตกรรม ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ไทยจะต้องเร่งดำเนินการ คือ การเติบโตจากในประเทศ การเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
"เศรษฐกิจไทยยังไม่แรงพอ เพราะผู้ประกอบการยังชั่งใจ การลงทุนเอกชนยังไม่เข้มข้น เป็นหน้าที่เอกชนต้องกล้าลงทุน ถ้า Factor ทุกตัวขับเคลื่อน ผมเชื่อว่าดีขึ้น" นายสมคิด กล่าว
ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม กล่าวในหัวข้อ"โอกาสการลงทุนในทศวรรษแห่งโครงสร้างพื้นฐาน" ว่า รัฐบาลมีแผนการลงทุนในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ 20 โครงการ โดยได้ดำเนินการไปแล้ว 11 โครงการ มูลค่าที่มีการอนุมัติและประกวดราคา 4.6 แสนลบ ซึ่งในส่วนของครึ่งปีหลังจะมีการเดินหน้าโครงการอีก 8 โครงการ อาทิ ดครงการรถไฟทางคู่ ขนาดมาตรฐาน เส้นทางมาบกะเบา-จิระ, ลพบุรี- ปากน้ำโพ, นครปฐม-หัวหิน, หัวหิน-ประจวบฯ โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-หัวหิน กรุงเทพ-ระยอง คาดว่าจะสามารถเสนอเข้าคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) ได้ไม่เกินเดือนก.ค.นี้
รมว.คมนาคม กล่าวว่า โครงการลงทุนต่างๆ ยังเดินหน้าไปตามเป้า นอกจากนี้ รัฐบาลจะเน้นการส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนมากขึ้นโดยเฉพาะการพัฒนาในพื้นที่รอบข้างทาง เพื่อเพิ่มโอกาสในการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อาทิ บริเวณสถานีปากช่อง ของโครงการกรุงเทพ-โคราช โดยจะนำเรื่องนี้เข้าสู่คณะกรรมการ PPP ด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนที่รัฐบาลใช้มาตรา 44 เพื่อลดขั้นตอน EIA ก็ส่งผลดีในการเดินหน้าในหลายโครงการ ซึ่งไม่ต้องรอกระบวนการ EIA แล้วเสร็จแต่สามารถดำเนินการเตรียมการประกวดราคาควบคู่ไปได้ ซึ่งมีหลายโครงการได้ประโยชน์ เช่น โครงการรถไฟทางคู่ ลพบุรี-ปากน้ำโพ นครปฐม-หัวหิน โครงการไฮปีดเทรนกรุงเทพ-ระยอง กรุงเทพ-หัวหิน
"โครงการต่างๆที่จะเริ่มก่อสร้างปีนี้ ปีหน้า หวังว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาจะไม่ล้มเลิกโครงการเพราะมองว่าโครงการเหล่านี้มีประโยชน์ต่อประชาชน และหลายโครงการติดขัดมาเป็นเวลานาน 10-15 ปี เช่น โครงการมอเตอร์เวย์ 3 เส้นทางที่เพิ่งผ่านครม.ไปเมื่อวานนี้" รมว.คมนาคม กล่าว