นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับประเทศในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2559 (ม.ค.-เม.ย.) ว่า มีมูลค่าการค้าสูงถึง 353,314 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยประเทศที่มีมูลค่าการค้ากับไทยสูงสุดเรียงตามลำดับ ได้แก่ เวียดนาม, เมียนมา, สปป.ลาว และกัมพูชา
"ประเทศ CLMV ถือได้ว่าเป็นกลุ่มประเทศที่มีความสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศของไทยเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่การค้าระหว่างไทยกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญ เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป มีอัตราการขยายตัวลดลง แต่การค้าระหว่างไทยกับ ประเทศ CLMV กลับมีการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง" รมว.พาณิชย์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ไทยสามารถใช้โอกาสจากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และการเป็นกลุ่มประเทศที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์เอเชีย ขยายการค้าของไทยกับกลุ่ม CLMV ให้เพิ่มสูงขึ้นได้ รวมถึงความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าของผู้บริโภคในกลุ่ม CLMV ทำให้โอกาสของสินค้าและธุรกิจบริการของไทยเปิดกว้างอย่างมากในตลาด CLMV
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยในการแสวงหาโอกาสทางการค้ากับประเทศ CLMV ด้วยการจัดกิจกรรมสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน รุ่นที่ 2 (Yen-D Program Season 2) รวมถึงการจัดคณะภาครัฐและเอกชนไทยเดินทางเยือนประเทศ CLMV เพื่อแสวงหาโอกาสการค้าและการลงทุนใหม่ๆ
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าไปดำเนินธุรกิจในกลุ่ม CLMV สามารถใช้บริการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของกระทรวงพาณิชย์ที่เปิดให้บริการอยู่แล้วใน 4 ประเทศ โดยนอกเหนือจากการให้บริการข้อมูลคำปรึกษาด้านการตลาด การลงทุน กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ ยังให้บริการประสานนัดหมายทางธุรกิจด้วย
สำหรับจุดเด่นของแต่ละประเทศนั้น ที่ผ่านมาเวียดนามให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก ในปีที่ผ่านมา เวียดนามมีมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศราว 828,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เวียดนามยังได้เข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) เมื่อต้นปี 2559 ที่ผ่านมา ส่งผลให้เวียดนามมีศักยภาพในการแข่งขันในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม, เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ นักลงทุนไทยอาจใช้ประโยชน์จากการเป็นสมาชิก TPP ของเวียดนามในการเข้าไปลงทุนเองหรือเข้าร่วมลงทุนกับนักธุรกิจเวียดนาม เพื่อลดต้นทุนทางภาษี และใช้สิทธิประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ
สำหรับกัมพูชา ถือเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นลำดับต้นๆ ของโลก และของภูมิภาค โดยปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกัมพูชา คือการส่งออกเครื่องนุ่งห่ม และรองเท้าไปยังกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปที่ยังขยายตัวได้ดีจากการที่กัมพูชาได้รับสิทธิพิเศษทางด้าน GSP การเติบโตของการท่องเที่ยว การเกษตร อสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง ลู่ทางการลงทุนที่มีศักยภาพได้แก่ โลจิสติกส์, การผลิตเสื้อผ้า, รองเท้า, การค้าผ่านแดน, บริการท่องเที่ยว/ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และร้านอาหาร เป็นต้น
ส่วน สปป.ลาว มีประชากรราว 6.8 ล้านคน และในปี 2559 คาดว่าแนวโน้มรายได้ของประชากรต่อคนจะมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 8% โดยเมืองสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยควรจะให้ความสำคัญในการเข้าไปเจาะตลาด ได้แก่ นครหลวงเวียงจันทน์ เนื่องจากเป็นเมืองหลวงและมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก รองลงมาคือ แขวงหลวงพระบาง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของ สปป.ลาว และอันดับ 3 คือ แขวงจำปาสัก ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางตอนใต้ของ สปป.ลาว
ขณะที่เมียนมา แม้ว่าจะเป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวของประชากรน้อยที่สุดในอาเซียน แต่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์มาก อีกทั้งมีศักยภาพสูงด้านเกษตรกรรมและประมง รวมทั้งค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่าประเทศอื่นๆ ล้วนเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ พื้นที่ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสในการขยายตลาดสินค้าไทยคือ เนปิดอร์, ตองยี, มะริด, พะสิม ซึ่งเป็นเมืองที่มีแนวโน้มชัดเจนว่าจะเติบโตขึ้นในในอนาคต