นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ กล่าวในโอกาสเดินทางไปตรวจเยี่ยมกระทรวงคมนาคมว่า รัฐบาลกำลังพิจารณานำโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพ - ระยอง และ กรุงเทพ - หัวหิน เข้าโครงการ Fast Track ของคณะกรรมการนโยบายให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) โดยเฉพาะเส้นทางกรุงเทพ-ระยอง เนื่องจากเส้นทางนี้จะช่วยทำให้ระบบการขนส่งในอีสเทิร์นซีบอร์ดสมบูรณ์มากขึ้น เพราะจะมีทั้งระบบขนส่งและระบบโลจิสติกส์ที่ดี รวมทั้งคลังสินค้าที่ดี ซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่น จีน และเกาหลีต่างให้ความสนใจการลงทุนในระยองอยู่แล้ว และจะทำให้ไทยกลายเป็นเกตเวย์ของกลุ่มประเทศ CLMV หรืออาเซียนตอนบนได้
"โดยเฉพาะกรุงเทพ-ระยอง ตรงนี้จะเร่งให้เร็ว ตามที่ทางคมนาคมและรัฐบาลได้เน้นเรื่อง Eastern Economic Corridor ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจมาก ซึ่งได้ขอให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ทำโครงการให้สมบูรณ์พร้อม เพื่อให้นักลงทุนทราบว่าโครงการนี้ตั้งแต่กรุงเทพฯ ไปจนถึงแหลมฉบังลงมามาบตาพุด ระยอง มีโครงการอะไรบ้าง ตรงนี้จะเป็นแหล่งลงทุนสำคัญมาก รวมทั้งแผนงานโลจิสติกส์ทั้งระบบ ซึ่งจะมีการประชุมระบบขนส่งของประเทศในราวต้นเดือน ก.ค.นี้โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน"นายสมคิด กล่าว
นอกจากนี้ คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย คือ สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และ สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) ได้ในช่วงปลายเดือนมิ.ย.นี้พร้อมกัน ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความมั่นใจ และเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญให้กับประเทศ แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะไม่ดี แต่ไทยมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยกระตุ้นให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศค่อยๆ ดีขึ้น
"รถไฟฟ้า แน่นอนว่า 3 เส้น เหลือง,ชมพู,ส้ม ก็จะประกวดราคาในปลายมิ.ย.นี้ ซึ่งเป็นไปตามนั้น ก็จะเป็นเรื่องน่ายินดีมาก เพราะรอบแรกออกมาแล้ว" นายสมคิดกล่าว
สำหรับมูลค่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม อยู่ที่ 1.1 แสนล้านบาท สายสีชมพู 5.6 หมื่นล้านบาท และสายสีเหลือง 5.4 หมื่นล้านบาท
รองนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวด้วยว่า ภายใน 2 เดือนข้างหน้าจะสามารถออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) มุลค่า 1 แสนล้านบาท และกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแล้ว โดยกระทรวงการคลังจะนำเสนอรายละเอียดออกมาเร็วๆ นี้
"การเปิดประมูลรถไฟฟ้าในปลายเดือนมิ.ย.นี้ จะทำให้ต่างชาติเกิดความมั่นใจสูงมาก ไม่ใช่คุย แต่เป็นของจริงยังบอกกับข้าราชการว่าเราโชคดีที่เรามีโครงการขนาดใหญ่อยู่ในมืออยู่แล้ว เวลาเศรษฐกิจโลกไม่ดี เศรษฐกิจเราอาจเคลื่อนได้ช้า ตอนนี้โครงการใหญ่เริ่มไหลแล้ว แต่ประเทศอื่นไม่มีโครงการใหญ่ๆ คิดจะทำก็ไม่ใช่ง่าย เราโชคดีตรงนี้ เพราะฉะนั้นก็ต้องเร่งไม่ให้มันชะลอ บางโครงการไม่ต้องใช้เอกชนงบรัฐบาลพอมี หรือจะใช้ Future Fund ที่กำลังจะออกมา เอาไปลงทุนโครงการต่างๆ ได้" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
นายสมคิด กล่าวต่อว่า รัฐบาลจะใช้กระทรวงคมนาคมเป็นกระทรวงหลักกระทรวงในการขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐ เพราะมีงบประมาณสูงมากถึง 2.5 ล้านล้านบาท และยังมีกระทรวงพลังงานที่ใช้งบลงทุนสูง 2.4-2.5 ล้านล้านบาท ที่จะใช้ลงทุนไปถึงปี 65
"2 สองกระทรวง คือ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงคมนาคม มีงบลงทุนใหญ่จริงถึงปี 65 กระทรวงคมนาคมมี 2.5 ล้านล้านบาท กระทรวงพลังงาน มีงบลงทุน 2.4-2.5 ล้านล้านบาท แค่ 2 กระทรวง ถ้าขับเคลื่อนเต็มที่จะทำให้ Economic โตตามได้เลย....ถึงปี 65 คมนาคมมีงบลงทุน 2.5 ล้านล้านบาท ไม่ว่าถนน สนามบิน ท่าเรือ รถไฟฟ้า ซึ่งไม่น้อย และ timming ช่วงนี้ดีเพราะเงินท่วมโลก เงินมันเยอะแต่ไม่มีที่ไป " นายสมคิดกล่าว
นายสมคิด กล่าวว่า ตอนนี้เราไม่ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะไทยมีการลงทุนแล้ว ไม่ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ ตอนนี้เชื่อว่ากรอบภาพรวมเศรษฐกิจไทย ดีชึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าในบางภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเกษตร เพราะสินค้าเกษตรราคาต่ำ แม้ว่า GDP ดีขึ้น ก็ต้องไปดูแลเขา เมื่อเขาดีขึ้น โครงสร้างพื้นฐานดีขึ้น ภาพรวมเศรษฐกิจก็จะดีขึ้น อย่าไปมัวกลุ้มใจว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดี ถ้าคิดอย่างนั้นก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น
"ตอนนี้เป็นช่วงจังหวะที่ดีที่จะลงทุนโครงการใหญ่ เพราะขณะนี้สภาพคล่องในโลกมีอยู่มาก ดังนั้น timing ของการลงทุนช่วงเวลานี้สำคัญ เพราะเงินต่างประเทศไม่รู้ไปไหน แต่ถ้าเศรษฐกิจโลกฟื้นเงินก็ไม่รู้ไปไหน เพราะฉะนั้นอันไหนที่เขาอยากร่วมก็ให้เขาเข้ามาร่วม" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมไปโรดโชว์หรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้นักลงทุนต่งประเทศ และนักลงทุนในประเทศได้รับทราบข้อมูล