นายอนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตกล่าวถึง ผลกระทบ BREXIT (อังกฤษออกจากอียู) หากผลการลงประชามติให้อังกฤษออกจากอียูว่า จะมีผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจไทยและโลกอย่างมีนัยยสำคัญต่อทั้งตลาดการเงิน ภาคเศรษฐกิจการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจจริง แต่ขณะเดียวกันย่อมเกิดโอกาสเพิ่มขึ้นหากรัฐบาลสามารถวางยุทธศาสตร์อย่างเหมาะสม และริเริ่มเปิดการเจรจาการค้าและการลงทุนกับอังกฤษเป็นประเทศแรกๆ ข้อตกลงการค้าหลายอย่างของอียูจะไม่ถูกบังคับกับอังกฤษ
หากผลประชามติให้อังกฤษออกจากอียู จะทำให้ตลาดการเงินผันผวนค่อนข้างมากในช่วงสามเดือนข้างหน้า โดยเฉพาะเงินยูโรและเงินปอนด์ น่าจะอ่อนค่าลงอย่างมาก เงินดอลลาร์ เงินสกุลเอเชีย เงินเยน เงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโรและเงินปอนด์ ขณะเดียวกัน ผลกระทบต่ออังกฤษจะชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาสสี่ปีนี้ และอาจจะเจอกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงต้นปีหน้ามีผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกรุนแรง โดยเฉพาะตลาดหุ้นอังกฤษอาจปรับตัวลงได้มากกว่า 10% ตลาดหุ้นยุโรปอาจปรับลงได้ 5-10% นักลงทุนส่วนใหญ่จะหันมาถือพันธบัตร เงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา เงินเยน เงินสวิสฟรังก์ และ ทองคำแทน ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้ 20-30% ดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นระดับหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯอาจชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย
กรณีอังกฤษออกจากอียู ผลกระทบต่อตลาดการเงินจะชัดเจนและรุนแรงกว่าภาคเศรษฐกิจจริงและภาคการค้า เพราะหลังจากการลงมติออกจากอียูแล้ว ต้องใช้เวลาหากกรณีลงประชามติแล้วยังคงอยู่กับอียูต่อไป ตลาดการเงินจะดีดกลับทันที เงินยูโร เงินปอนด์จะแข็งค่าขึ้น และราคาทองคำอาจชะลอตัวลง ส่วนการอยู่กับอียูต่อไปจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของอังกฤษและอียูมากกว่า การที่สมาชิกพรรคแรงงาน Jo Cox แกนนำผู้สนับสนุนการอยู่เป็นสมาชิกอียูต่อไปถูกยิงเสียชีวิตจากกลุ่มหัวรุนแรงขวาจัดอาจทำให้ฝ่ายสนับสนุนในการอยู่เป็นสมาชิกอียูต่อไปได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้นและได้รับความเห็นใจ ซึ่งขณะนี้ทั้งสองฝ่ายมีเสียงก้ำกึ่งกันอยู่
การเกิดความรุนแรงทางการเมืองในการลงประชามติเรื่อง Breexit ในอังกฤษ เป็นบทเรียนต่อไทยว่า การลงประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ ควรเปิดให้มีความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง อย่าปิดกั้น แต่ต้องควบคุมไม่ให้มีการปลุกกระแสที่สร้างความเกลียดชังกัน มีการเสนอความคิดเห็นแบบสร้างสรรค์ ใช้เหตุผลในการหักล้างกัน หากเกิดความรุนแรงขึ้นในกรณีของไทยย่อมไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในการลงทุน
กรณีอังกฤษออกจากอียู ข้อตกลงการค้าหลายอย่างของอียูจะไม่ถูกบังคับกับอังกฤษ เป็นโอกาสที่ไทยอาจเริ่มต้นเจรจากรอบการค้าและการลงทุนใหม่กับอังกฤษแม้นไทยส่งออกไปอังกฤษประมาณ 2% แต่ส่งออกไปอียูคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10-11% อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอังกฤษและอียูจะชะลอตัวลงกว่าเดิม ประเมินมีผลกระทบต่อเนื่องยาวนานและทำให้เสถียรภาพของระบบอียูมีปัญหา หลายประเทศอาจเกิดการเรียกร้องให้ออกจากอียู แม้นประเทศไทยส่งออกไปประเทศอังกฤษเพียงแค่2% แต่มีความเชื่อมโยงกับกิจกรรมการส่งออกต่อเนื่องไปยังอียูมาก โดยสินค้าส่งออกหลัก คือไก่แปรรูป อาหารประเภทต่างๆ อัญมณีเครื่องประดับ เสื้อผ้าเครื่องหนังรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เป็นต้น การที่อังกฤษอยู่ภายใต้ระบบของอียู ย่อมส่งผลดีต่อการขยายตัวของการค้าและการลงทุนต่อไทยมากกว่า
หากผลลงประชามติในวันที่ 23 มิ.ย. ออกมาให้อังกฤษอยู่กับอียูต่อไป จะเป็นผลบวกต่อตลาดการเงิน ส่วนผลต่อภาคเศรษฐกิจจริงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยสำคัญ หากผลลงประชามติออกว่าให้อังกฤษออกจากอียู จะส่งผลลบต่อตลาดการเงินและตลาดการเงินจะมีความผันผวนต่อเนื่อง เนื่องจากจะต้องนำผลประชามติเข้าพิจารณาในรัฐสภาอังกฤษ ซึ่งเกิดความไม่แน่นอนขึ้นอีก ส่วนผลกระทบต่อภาคการค้าและภาคเศรษฐกิจจริงนั้น มีผลกระทบสุทธิเป็นลบแน่นอน
"เมื่อประมวลจากข้อมูลทั้งหมดแล้ว โอกาสที่อังกฤษออกจากอียูมีความเป็นไปได้ต่ำ แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอน เพราะการออกจากอียูจะเป็นผลจากเหตุผลทางการเมืองมากกว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจ" นายอนุสรณ์ กล่าว