น.ส.รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการผู้บริหารกลุ่มวิเคราะห์ตลาดการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) มองว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ ที่ประชุมจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิมที่ 1.50% และยังน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับนี้ไปจนถึงสิ้นปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ค่อนข้างช้า ต้องอาศัยการประคับประคองจากนโยบายด้านการคลังและนโยบายด้านการเงิน โดยเชื่อว่า กนง.น่าจะพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยในภาวะที่มีความคับขันหรือมีความจำเป็นอย่างมากมากกว่า เช่น กรณีการช็อคของเศรษฐกิจจากปัจจัยภายนอกประเทศ
"คาดว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50% ตลอดทั้งปี เพราะถ้าดูภาวะเศรษฐกิจไทยยังโตช้า แต่ประคองตัวได้ด้วยนโยบายการคลัง และนโยบายการเงินก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจุดนี้ ธปท.ออกมาย้ำหลายครั้ง เพราะดอกเบี้ยบ้านเราในระดับปัจจุบัน ต้นทุนการเงินไม่แพง เพียงแต่คนขาดความเชื่อมั่น" ผอ.ผู้บริหารกลุ่มวิเคราะห์ตลาดการเงิน BAY กล่าวกับ "อินโฟเควสท์"
สำหรับแนวโน้มค่าเงินในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ น.ส.รุ่ง ให้กรอบกว้างๆ ไว้ที่ 34.50 - 36.75 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากมองว่าค่าเงินยังมีความผันผวน จากปัจจัยที่ให้สมมติฐานไว้ว่าอังกฤษไม่ออกจากอียู ส่วนปัจจัยถัดไป คือ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่คาดว่ามีความเป็นไปได้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% อย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงไตรมาส 3
พร้อมวิเคราะห์ว่า หากเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยพิจารณาจากปัจจัยข้อมูลเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว ก็เชื่อว่าเฟดคงจะปรับขึ้นดอกเบี้ยไปตั้งแต่ต้นไตรมาส 2 แล้ว แต่มองว่าการที่เฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ยไว้ก่อน เพราะมีความกังวลมาจากปัจจัยที่สำคัญ คือ การที่อังกฤษจะลงประชามติในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ว่าจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) หรือไม่ รวมทั้งกรณีที่สหรัฐอเมริกาจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ในช่วงเดือนพ.ย.นี้ด้วย
"เฟดยังกังวลปัจจัยเรื่อง brexit รวมทั้งเดือนพ.ย.จะมีเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งช่วงที่การเลือกตั้งใกล้เข้ามา เชื่อว่าเฟดจะไม่ทำอะไรกับดอกเบี้ย น่าจะอยู่เฉยๆ ปกติแล้วการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในอดีตที่ผ่านมา จะไม่ค่อยส่งผลต่อนโยบายการเงิน หรือค่าเงินดอลลาร์เท่าใดนัก แต่รอบนี้มีผลมาก เนื่องจากตัวเก็งประธานาธิบดีมีนโยบายที่แตกต่างกันมาก รอบนี้จึงต่างไปจากทุกครั้ง" น.ส.รุ่ง ระบุ
ทั้งนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประเมินว่าค่าเงินบาทในช่วงไตรมาส 3/59 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 35.50 บาท/ดอลลาร์ ส่วนไตรมาส 4/59 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 36.00 บาท/ดอลลาร์ และไตรมาส 1/60 มีโอกาสคาดกลับมาแข็งค่าอยู่ที่ 35.75 บาท/ดอลลาร์
"ต้นปีหน้าบาทจะกลับมาแข็งค่า ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้แข็งค่าไปจากปัจจุบัน เพียงแต่ระหว่างช่วงจากนี้ไปจนถึงต้นปีหน้า บาทน่าจะเคลื่อนไหวมาก ที่มองว่าต้นปีหน้าจะกลับมาแข็งค่า เพราะเราคิดว่าเมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ยได้ 1-2 ครั้งแล้ว ตลาดจะรับรู้ข่าวไปแล้ว และในเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวได้ดี เชื่อว่าภูมิภาคนี้ที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักรวมทั้งไทย เศรษฐกิจจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น" ผอ.ผู้บริหารกลุ่มวิเคราะห์ตลาดการเงิน BAY กล่าว