นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมเตรียมสรุปและนำเสนอผลการศึกษาขั้นกลางถึงความเป็นไปได้โครงการพัฒนารถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เส้นทาง กรุงเทพ-เชียงใหม่ ระยะทาง 673 กม.ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.)พิจารณาได้ในเดือน ก.ค.นี้
ในการประชุมคณะทำงานภายใต้ความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น ในส่วนของการพัฒนารถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เส้นทาง กรุงเทพ-เชียงใหม่วันนี้ ทางญี่ปุ่นได้รายงานผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเบื้องต้น โดยจะแบ่งการก่อสร้างโดยเป็น 2 ตอน คือกรุงเทพ-พิษณุโลก ระยทาง 384 กม. ,พิษณุโลก-เชียงใหม่ ระยะทาง 289 กม. พบว่า แนวทางการก่อสร้างที่มีความเหมาะสมในระยะแรก ช่วงกรุงเทพ-พิษณุโลก มีความเป็นไปได้ และมีผลตอบแทนของโครงการดีกว่าการก่อสร้างพร้อมกันทั้งโครงการไปถึงเชียงใหม่
ทั้งนี้ จะต้องอยู่บนเงื่อนไขของการพัฒนาพื้นที่และการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ควบคู่กันไปด้วย เนื่องจากรายได้จากโครงการรถไฟความเร็วสูงอย่างเดียวไม่เพียงพอ จะต้องมีธุรกิจการพัฒนาพื้นที่ร่วมด้วย ทั้งการพัฒนาพื้นที่ในสถานี พื้นที่สองข้างทางหรือการพัฒนานิคมต่างๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องพัฒนาตลอดเส้นทาง แต่พิจารณาจุดที่มีศักยภาพพัฒนาเป็นช่วงๆ ได้ ซึ่งจะช่วยทำให้ผลตอบแทนทางการเงินของโครงการดีขึ้น
“หลังที่ได้ให้โจทย์กับทางญี่ปุ่น ให้ทำข้อมูลความคุ้มค่าในการลงทุนในแต่ละแนวทาง เช่น ก่อสร้างพร้อมกันตลอดโครงการ, กรณีแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ตอน ,หรือหากจะแบ่งการก่อสร้างแต่ละตอนสั้นลงอีก แต่ละแนวทางมีความคุ้มค่าอย่างไร พบว่า แบ่งสร้างช่วงกรุงเทพ-พิษณุโลก เป็นไปได้และมีผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งจะให้ทางญี่ปุ่น คำนวณเรื่องผลตอบแทนโครงการให้ชัดเจนต่อไป
ส่วนการพัฒนาเชิงพาณิชย์นั้น เป็นไปตามนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้เปลี่ยนวิธีการกคิด ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ว่าไม่ใช่เวนคืนที่ดินมาแล้วทำแค่รถไฟอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาว่าช่วงไหนของเส้นทางที่สามารถนำมาพัฒนาเพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มให้ผลตอบแทนต่อโครงการได้"นายอาคมกล่าว
ทั้งนี้ รายงานผลการศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้นจะสรุปปลายปี 59 จากนั้นจึงจะเป็นการศึกษาและออกแบบรายละเอียด ซึ่งจะดำเนินการในปี 60 ใช้เวลาอีกประมาณ 1 ปี ส่วนการก่อสร้างในช่วงแรก กรุงเทพ-พิษณุโลกคาดว่าจะก่อสร้างไม่น้อยกว่า 3 ปี และเปิดให้บริการเฟสแรกได้ก่อน ซึ่งถือว่าเร็ว เนื่องจาก รถไฟชินคันเซ็นของญี่ปุ่น ใช้เวลาศึกษา 3 ปี ออกแบบอีก 5 ปี สำหรับการลงทุนจะมีหลายรูปแบบ รัฐบาลลงทุนหรือเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุน ซึ่งจะต้องสรุปรายละเอียดมูลค่าโครงการก่อสร้าง ส่วนการบริหารการเดินรถนั้น การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จะตั้งบริษัทลูกขึ้นมาบริหารงาน
อย่างไรก็ตาม ได้ขอให้ญี่ปุ่นช่วยเหลือเรื่องการพัฒนาพื้นที่ เพราะญี่ปุ่นนั้นมีประสบการณ์ในการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ซึ่งทางองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ตอบรับในการให้ความช่วยเหลือการศึกษา การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์
ส่วนกระทรวงคมนาคมได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งทางสศช.อาจจะมีความเชี่ยวชาญในการมองภาพทางเศรษฐกิจและสังคมได้ดีกว่ากระทรวงคมนาคม และอาจจะเสนอของบประมาณบางส่วนเพื่อศึกษาควบคู่ไปกับที่ญี่ปุ่นจะช่วยศึกษา เพราะไทยต้องเรียนรู้จากญี่ปุ่น กรณี ชินคันเซ็นของญี่ปุ่น ผ่านเมืองเล็กๆ การพัฒนาต่างๆยังใช้เวลาเป็น 10 ปี ซึ่งต้องอยู่ที่ว่าวิธีการจะพัฒนาอย่างไร รัฐจะพัฒนาเองหรือให้เอกชนพัฒนา ซึ่งการให้เอกชนพัฒนา สิ่งสำคัญคือเรื่องการวางผังพื้นที่วางผังการใช้ประโยชน์แล้วค่อยจัดรูปที่ดิน หากจุดไหนจำเป็นจะซื้อที่ดินเลย ญี่ปุ่นทำแบบนี้ เพราะมีกระทรวงที่ดินและโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมขนส่งและการท่องเที่ยว รวมงาน 4 เรื่องไว้กระทรวงเดียวกัน ดังนั้นการพัฒนาการก่อสร้างโครงการต่างๆ จะมีอำนาจในการเวนคืนและซื้อที่ดินด้วย