ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2559 โดยระบุว่า ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน ตามแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งอุปสงค์ในประเทศที่กระเตื้องขึ้น โดยการบริโภคภาคเอกชนปรับดีขึ้นตามการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนเป็นหลัก ส่วนหนึ่งเพราะกำลังซื้อของครัวเรือนเกษตรเริ่มปรับดีขึ้นจากราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้นและปัญหาภัยแล้งที่คลี่คลาย ประกอบกับการใช้จ่ายลงทุนของภาครัฐกลับมาขยายตัวดี อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าที่ยังคงหดตัวส่งผลให้การผลิตและการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำ
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นบวกต่อเนื่องจากเดือนก่อนตามการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารสดและราคาน้ำมัน อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลจากรายได้ภาคการท่องเที่ยวที่ดีและมูลค่าการนำเข้าที่อยู่ในระดับต่ำ
ธปท.ระบุว่า ในเดือนพ.ค.นี้ ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวดีต่อเนื่องและเป็นแรงส่งที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยจำนวนนักท่องเที่ยวรวมขยายตัว 7.6% จากระยะเดียวกันปีก่อน และเห็นการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวเกือบทุกสัญชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวรัสเซียที่โน้มสูงขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4
การบริโภคภาคเอกชนปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยการใช้จ่ายในสินค้าอุปโภคบริโภคและหมวดบริการยังมีทิศทางขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนกลับมาขยายตัว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ประกอบกับกำลังซื้อของครัวเรือนค่อยๆ ปรับดีขึ้น โดยเฉพาะครัวเรือนเกษตรตามทิศทางราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น และปริมาณผลผลิตที่เริ่มทรงตัวหลังภาวะภัยแล้งคลี่คลาย ซึ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่นของครัวเรือนเกษตรปรับเพิ่มขึ้นด้วย สำหรับการใช้จ่ายของครัวเรือนนอกภาคเกษตรช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนผ่านการขยายตัวของการจ้างงานทั้งในภาคการผลิตและ ภาคบริการ
แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐดีขึ้นในเดือนนี้ โดยรายจ่ายลงทุนกลับมาขยายตัวดีหลังแผ่วไปบ้างในช่วงก่อน โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการด้านคมนาคมและชลประทาน ขณะที่รายจ่ายประจำขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตามการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการและรายจ่ายเพื่อการซื้อสินค้าและบริการ
มูลค่าการส่งออกสินค้าหดตัว 3.7% จากระยะเดียวกันปีก่อน แต่หากไม่นับรวมการส่งออกทองคำที่เร่งขึ้นในเดือนนี้ มูลค่าการส่งออกหดตัว 5.6% ซึ่งเป็นการหดตัวในอัตราที่น้อยลงจากเดือนก่อน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากระดับการส่งออกยานยนต์ในปีที่แล้วที่ต่ำ ประกอบกับสินค้าบางหมวดขยายตัวได้ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศที่การส่งออกไปยังตลาดอาเซียนขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะเวียดนามที่ภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตดี และการส่งออกไปสหภาพยุโรปได้รับประโยชน์จากสภาพอากาศที่ร้อนกว่าปกติ อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้าส่วนใหญ่ยังหดตัวเพราะเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญฟื้นตัวช้า
ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเล็กน้อยจากระยะเดียวกันปีก่อน ด้วยผลของฐานที่ต่ำในปีที่แล้ว และอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ปรับดีขึ้นในบางหมวดสินค้า อาทิ ยานยนต์ที่ขยายตัวสูง เนื่องจากในปีก่อนมีการหยุดการผลิตเพื่อปรับเปลี่ยนสายการผลิต ประกอบกับในปีนี้ความต้องการรถกระบะดัดแปลงขยายตัวดีต่อเนื่อง และเครื่องปรับอากาศที่ขยายตัวดีเพราะสภาพอากาศที่ร้อนกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม การผลิตในหลายอุตสาหกรรมยังคงหดตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน เพราะอุปสงค์จากต่างประเทศยังต่ำส่วนหนึ่งจากข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง เช่น ความสามารถในการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองต่อรสนิยมของผู้บริโภคสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ด้านมูลค่าการนำเข้าสินค้าหดตัวเล็กน้อยที่ 0.2% จากระยะเดียวกันปีก่อน แต่หากไม่รวมทองคำ มูลค่าการนำเข้าหดตัว 1.9% ซึ่งเป็นการหดตัวในอัตราที่น้อยลงจากเดือนก่อน โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานที่ต่ำในปีที่แล้ว ประกอบกับมูลค่าการนำเข้าสินค้าขั้นกลางและวัตถุดิบปรับสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบเป็นสำคัญ นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้าทุนปรับดีขึ้นบ้าง แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคม และพลังงานทดแทน สะท้อนภาวะการลงทุนภาคเอกชนที่การฟื้นตัวยังจำกัดอยู่เฉพาะในบางธุรกิจ ขณะที่การลงทุนในภาคธุรกิจอื่น ๆ ทรงตัวในระดับต่ำ เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมยังมีกำลังการผลิตเหลือสอดคล้องกับการระดมทุนของภาคธุรกิจที่ยังมีทิศทางชะลอลงเมื่อหักผลของการระดมทุนเพื่อควบรวมกิจการที่มีมูลค่าสูงเป็นพิเศษในเดือนนี้
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.46%โดยเป็นบวกต่อเนื่องจากเดือนก่อน ตามการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารสดและราคาน้ำมัน อัตราการว่างงานปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากรายได้ภาคการท่องเที่ยวที่ดีต่อเนื่องและมูลค่าการนำเข้าที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลสุทธิ 0.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 1) การลงทุนโดยตรงในธุรกิจค้าปลีกของผู้ประกอบการไทยในประเทศเวียดนาม และ 2) การขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างประเทศ ตามการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงดังกล่าว