นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ประเทศไทยสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงจากตลาดโลกได้ อาทิ Brexit และปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เนื่องจากพื้นฐานและเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยมีความแข็งแกร่ง และอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ปัจจุบันปัจจัยหลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือ การลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐ แต่ก็ทำได้เพียงพยุงเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้
สิ่งที่ไทยยังขาดอยู่ในขณะนี้คือการลงทุนของภาคเอกชนที่ส่วนใหญ่ยังชะลออยู่ แม้ว่าตัวเลขการลงทุนภาคเอกชนจะปรับตัวดีขึ้นมาบ้างก็ตาม แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการออกมาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการพยายามช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมที่อ่อนแอ อาทิ กลุ่มเอสเอ็มอี และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท สำหรับเป็นสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี ในการเปลี่ยนเครื่องจักร หรือลงทุนใหม่ จึงหวังว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้การลงทุนของภาคเอกชนจะฟื้นตัวขึ้นได้
รมว.คลัง กล่าวว่า หากการลงทุนภาคเอกชนกลับมาจะช่วยทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้อีกมาก โดยในระยะยาวรัฐบาลมีแผนลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็คท์จำนวนมาก และส่วนใหญ่ก็มีแผนการลงทุนโดยการดึงเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน ซึ่งถือว่าประเทศไทยโชคดีเนื่องจากภาคเอกชนเองก็มีความเข้มแข็งและมีสภาพคล่องอยู่ในระดับสูงทำให้ช่วยเพิ่มความสามารถในการลงทุนและจะได้เห็นการขับเคลื่อนการลงทุนในส่วนนี้อย่างมีนัยสำคัญ
“ถ้าการลงทุนของภาคเอกชนกลับมาเหมือนเดิม ก็จะช่วยทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้อีกเยอะ แต่หากยังไม่กลับมาเหมือนเดิมก็เชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยก็ยังจะเดินหน้าได้แบบค่อย ๆ โต" รมว.คลัง กล่าว
สำหรับภาพรวมการออมของประเทศในปัจจุบันถือว่ามีการออมอยู่ในระดับที่สูงกว่าการลงทุน สะท้อนจากทุนสำรองของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการออมจึงไม่ใช่ปัญหาสำคัญกับประเทศในขณะนี้
"ปัจจุบันคนไทยมีลักษณะการออมเงินที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่เพียงการฝากออมทรัพย์อย่างเดียว กลับไปออมเงินผ่านการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ ลงทุนในหุ้น อสังหาริมทรัพย์ ทอง เป็นต้น ดังนั้นจึงอยากให้มองการออมเงินให้กว้างขึ้น"รมว.คลัง กล่าว