นายพรชัย ฐีระเวช รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ระบุว่า ตามที่ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.59 มีมติรับทราบโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อช่วยให้รัฐบาลมีข้อมูลที่ถูกต้องในการจัดสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างเหมาะสมต่อไป จึงขอเชิญชวนประชาชนผู้มีรายได้น้อยมาลงทะเบียนโดยมีเงื่อนไขและวิธีการที่สำคัญ ดังนี้
1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงทะเบียน: ต้องมีสัญชาติไทย, มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป โดยต้องเกิดก่อนวันที่ 16 ส.ค.41 และต้องว่างงานหรือมีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทในปี 2558 ทั้งนี้ ผู้ลงทะเบียนจะต้องยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของตน เช่น รายได้ การถือครองทรัพย์สิน หนี้สินที่คงค้าง เป็นต้น เพื่อให้รัฐบาลมีข้อมูลสำหรับนำไปใช้ในการจัดทำสวัสดิการของรัฐ
2. ช่วงเวลาในการลงทะเบียน: ระหว่างวันที่ 15 ก.ค. ถึง 15 ส.ค.59
3. หลักฐานที่ต้องใช้ในการลงทะเบียน: บัตรประจำตัวประชาชน
4. สถานที่ลงทะเบียน: สาขาของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยลงทะเบียนที่ธนาคารใดธนาคารหนึ่งเท่านั้น
5. วิธีการลงทะเบียน มี 2 วิธี :
วิธีที่ 1: การกรอกแบบลงทะเบียน ณ ธนาคาร ให้ดำเนินการดังนี้
1) ยื่นบัตรประชาชนให้แก่เจ้าหน้าที่ของธนาคาร
2) รับแบบลงทะเบียนจากเจ้าหน้าที่ธนาคาร แล้วกรอกแบบลงทะเบียนพร้อมทั้งลงลายมือชื่อด้วยตนเอง
3) เจ้าหน้าที่ธนาคารจะให้เอกสาร (เป็นหางตั๋วแผ่นเล็ก ๆ) ให้ผู้ลงทะเบียนเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานการลงทะเบียน
วิธีที่ 2: การกรอกแบบลงทะเบียนจากสถานที่อื่น แล้วจึงนำมายื่นที่ธนาคาร ให้ดำเนินการดังนี้
1) ดาวน์โหลดแบบลงทะเบียนจากเว็บไซต์ของกระทรวงการคลัง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน หรือธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
2) กรอกแบบลงทะเบียนพร้อมทั้งลงลายมือชื่อด้วยตนเอง
3) ติดต่อที่สาขาของธนาคาร โดยยื่นบัตรประชาชนพร้อมทั้งแบบลงทะเบียนตามข้อ 2) ให้แก่เจ้าหน้าที่ของธนาคาร
4) เจ้าหน้าที่ธนาคารจะให้เอกสาร (เป็นหางตั๋วแผ่นเล็ก ๆ) ให้ผู้ลงทะเบียนเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานการลงทะเบียน
6. การตรวจสอบผลการลงทะเบียน: ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 เป็นต้นไป ผู้ลงทะเบียนสามารถเข้าไปที่หน้าเว็บไซต์ของกรมสรรพากร แล้วกรอกหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนของตน โดยระบบจะแจ้งผลการลงทะเบียนให้ทราบว่า ได้ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วหรือไม่
7. การจัดสวัสดิการให้แก่ผู้มีรายได้น้อย: รัฐบาลจะบูรณาการฐานข้อมูลแล้วนำไปใช้ในการจัดสวัสดิการให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในอนาคต เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยอย่างเหมาะสมและยั่งยืน
นายพรชัย คาดว่า จะมีประชาชนผู้มีรายได้น้อยมาร่วมโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ในระหว่างวันที่ 15 ก.ค.-15 ส.ค.นี้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านราย จากจำนวนผู้รับสวัสดิการของรัฐทั้งหมดในปัจจุบันที่ประมาณ 10 ล้านราย โดยมั่นใจว่าสถาบันการเงิน 3 แห่งที่เปิดรับทะเบียน คือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย ที่มีสาขาทั่วประเทศร่วมกันกว่า 3,500 สาขา จะรองรับความต้องการลงทะเบียนของประชาชนได้อย่างไม่มีปัญหา
ทั้งนี้ การเปิดรับลงทะเบียนเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่รัฐบาลจะทำสถิติฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อย เพื่อรับสวัสดิการของรัฐอย่างแท้จริง ทำให้ระบบสวัสดิการในอนาคตของรัฐตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และการใช้งบประมาณ ซึ่งมาจากภาษีของประชาชนมีประสิทธิภาพ เช่น ปัจจุบันการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพคนชรา ซึ่งในระบบข้อมูลมีกว่า 8 ล้านรายในจำนวนนี้เป็นการจ่ายเบี้ยให้คนชราที่เสียชีวิตไปแล้วเป็นหลักแสนราย ซึ่งเป็นการใช้งบประมาณไม่ถูกต้อง
"การลงทะเบียนครั้งนี้ ไม่ได้มีการเอาข้อมูลไปทำอะไร และจะไม่ปรากฏในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์แน่นอน จะไม่มีใครรู้ว่าผู้ลงทะเบียนมีทรัพย์สิน มีรายได้ หรือหนี้สินอย่างไร ข้อมูลทุกอย่างจะเป็นความลับ โอกาสข้อมูลรั่วไหลจะไม่เกิดขึ้น เพราะฐานข้อมูลทุกอย่างอยู่ที่กรมสรรพากร ซึ่งสามารถตรวจสอบผลการลงทะเบียนบนเว็บไซต์กรมสรรพากรได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.59 เป็นต้นไป"นายพรชัย กล่าว
พร้อมระบุว่า ประชาชนจำเป็นต้องลงทะเบียนใหม่ทุกปี โดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ กรณีผู้ที่เคยลงทะเบียนแล้ว ในปีต่อไปให้ทำการปรับปรุงข้อมูลได้ด้วยตัวเองผ่านเว็บไซต์ ส่วนกรณีผู้ที่ยังไม่เคยลงทะเบียนให้ไปลงทะเบียนที่หน่วยงานรับลงทะเบียน ทั้งนี้ โครงการนี้ต้องการให้ผู้ลงทะเบียนมาลงทะเบียนด้วยตัวเอง แต่ผู้ลงทะเบียนสามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นลงทะเบียนแทนได้ เช่น ผู้สูงอายุเกิน 70 ปี, ผู้ป่วย และผู้พิการ