สำนักวิจัยและพัฒนา บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) เผยช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.59) มีอาคารชุดเปิดตัวใหม่รวม 51 โครงการ 28,444 หน่วย ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้ประกอบการหลายรายเลื่อนกำหนดการเปิดโครงการจากแผนเดิมในไตรมาส 2 ของปีนี้ออกไปเป็นไตรมาส 3 ของปีนี้
ขณะที่มีมูลค่าการพัฒนาโครงการ 77,730 ล้านบาท ลดลง 51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปีก่อนมีการเปิดตัวโครงการในระดับบนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในไตรมาสแรก โดยระดับราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทมีการเปิดตัวมากถึง 51% ของสัดส่วนตลาดทั้งหมด เพิ่มขึ้น 29% หากเปรียบเทียบจากสัดส่วนตลาดของปีก่อน ทั้งนี้คาดว่าผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีการเปิดตัวโครงการมูลค่ารวมมากกว่า 100,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือของปี 59
สำหรับส่วนแบ่งตลาดเป็นของบริษัทจำกัด 36% และบริษัทจดทะเบียน 64% โดยบริษัทที่มีการเปิดตัวสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ LPN 27%, Regent Green Power 8%, และ บมจ.เอเวอร์แลนด์ (EVER) 7% ขณะที่มีระดับราคาเปิดตัวสูงสุด คือ ระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท (C+) 27% รองลงมาคือ ระดับราคา 1.0-1.5 ล้านบาท (B-) 24% และระดับราคา 2.0-3.0 ล้านบาท (B+) 18% ตามลำดับ
ส่วนยอดขาย ณ วันเปิดตัวเฉลี่ยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 48% เพิ่มขึ้น 11% จากยอดขายของปีก่อน ในส่วนของยอดขายเฉลี่ยในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 62% เนื่องจากมีโครงการระดับบนหลายโครงการที่สามารถปิดการขายได้ในช่วงวันเปิดตัว
ทำเลที่ตั้งที่มีการเปิดตัวสูงสุด ได้แก่ ทำเลรังสิต-นครนายก 15% มีการเปิดตัว 4,136 หน่วย และเป็นทำเลที่มีราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำที่สุด โดยส่วนแบ่งหน่วยเปิดตัวในพื้นที่นี้ 90% เป็นของ LPN รองลงมา คือ ทำเลรถไฟฟ้าสายสีม่วง(ช่วงบางซื่อ-สะพานพระนั่งเกล้า) 8.7% ซึ่งเป็นทำเลที่มียอดขาย ณ วันเปิดตัวสูงถึง 67% สูงกว่าภาพรวมตลาดที่มียอดขายเฉลี่ย 48% ซึ่งเป็นผลมาจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่จะเปิดให้บริการในช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้ ตามมาด้วยทำเลเพชรเกษม-บางแค-พุทธมณฑลสายสี่ 8.6%
สำหรับปัจจัยบวกที่มีผลต่อตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ โครงการบ้านประชารัฐเพื่อเพิ่มอัตราการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการพื้นฐาน โดยเฉพาะรถไฟฟ้าจะเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยในบริเวณต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ส่วนปัจจัยลบ ได้แก่ ธนาคารมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทำให้อัตรากู้ไม่ผ่านเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท, สัดส่วนหนี้ครัวเรือนเริ่มขยายตัวในอัตราชะลอลงในช่วงต้นปีที่ผ่านมาแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูง คาดว่าปีหน้าจะมีภาพรวมที่ดีมากขึ้น และความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ม.ค. จนถึงเดือน มิ.ย.