น.ส.ชุติมา บุญยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เผยการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเคนยาและสาธารณรัฐโมซัมบิก ช่วงวันที่ 10-16 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า เป็นกิจกรรมสำคัญตามยุทธศาสตร์กระทรวงพาณิชย์ที่มุ่งเน้นเชื่อมความสัมพันธ์ระดับภาครัฐและเอกชนพัฒนาไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนา (Strategic partnership for development)
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยให้ความสำคัญเคนยาเป็นประตูการค้าไปยังแอฟริกาตะวันออก อาทิ อียิปต์ แทนซาเนีย และเอธิโอเปีย เป็นต้น ขณะที่สาธารณรัฐโมซัมบิกเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลอยแดง (ทับทิม) ซึ่งไทยได้มีการนำเข้า และทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ ประมง ป่าไม้ และพลังงาน ประกอบกับโมซัมบิกมีเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) มากเป็นอันดับ 2 ของแอฟริกา
โดยได้เข้าพบหารือกับ นายคริส คริปโต ปลัดกระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและสหกรณ์ สาธารณรัฐเคนยา ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันในการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วม Joint Trade and Investment Committee: JTC Thailand-Kenya เพื่อเป็นกลไกเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกัน และจะเริ่มการประชุมครั้งแรกโดยเร็ว ในช่วงต้นปี 2560 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2560 ความสัมพันธ์ทางการทูตไทยกับเคนยาจะครบรอบ 50 ปี ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ กำหนดจัดกิจกรรมส่งเสริมสินค้าไทยที่ประเทศเคนยาเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เคนยาต้องการให้ไทยนำเข้าวัตถุดิบต่างๆ ที่เคนยามีความอุดมสมบูรณ์ อาทิ โซดาแอช อัญมณี สังกะสี เพชร ยิปซั่ม สินค้าประมง กาแฟ ชา และอะโวคาโด เป็นต้น และต้องการให้ไทยเข้าไปลงทุน เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตภาคเกษตรและอุตสาหกรรม อาทิ ข้าวโพด อ้อย อาหารสัตว์ และปุ๋ย เป็นต้น เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของเคนยา ภายใต้แผน Kenya Vision 2030 ให้ก้าวขึ้นไปสู่ประเทศที่มีรายได้ปานกลาง อีกทั้งต้องการเรียนรู้ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านเกษตรกรรม การท่องเที่ยว และการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค จากไทย ซึ่งไทยยินดีให้ความร่วมมือตามความต้องการ
หลังจากนั้นได้เข้าพบหารือกับนายมิเชนี่ ทีบา ปลัดกระทรวงเกษตร ปศุสัตว์ และประมง ซึ่งฝ่ายไทยเจรจาผลักดันให้เคนยาพิจารณานำเข้าข้าวไทยเพิ่มขึ้น และขอสัมปทานการทำประมงชายฝังทะเลของเคนยา ซึ่งภาคเอกชนไทยจากสมาคมประมงนอกน่านน้ำมีความสนใจจะนำเข้าอาหารทะเลสดแช่เย็นแช่แข็งจากเคนยา อาทิ กุ้งล็อบสเตอร์ กั้ง ปลา และปูทะเล เป็นต้น และฝ่ายไทยได้เชิญปลัดกระทรวงเกษตร ปศุสัตว์ และประมง ฝ่ายเคนยา จัดคณะผู้แทนการค้ามายังประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมงาน Thailand Tractors and Agricultural Machinery Show มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ระหว่างวันที่ 4-13 ธันวาคม 2559 เนื่องจากเคนยาต้องการเครื่องจักรกลการเกษตรสูงมาก อีกทั้งคณะฯ ได้เยี่ยมชมบริษัท Rockland ผู้ผลิตและผู้ส่งออกอัญมณีรายใหญ่ของเคนยา มีเหมืองทับทิมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีการจ้างคนไทยเป็นผู้บริหารระดับสูงและช่างเทคนิค โดยเฉพาะช่างเจียระไน ทำให้สินค้ามีคุณภาพสูงและฝ่ายไทยได้เชิญบริษัทเข้าร่วมงาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ที่จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระหว่างวันที่ 7-11 กันยายน 2559 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่งในเอเชีย
ส่วนกิจกรรมในการเยือนสาธารณรัฐโมซัมบิก ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ คือ 1) เพื่อเป็นประธานร่วมในการประชุม JTC ไทย-โมซัมบิก ครั้งที่ 1 ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ร่วมกับปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของโมซัมบิก ซึ่งมีโอกาสได้หารือแนวทางการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ตลอดจนความร่วมมือทางเศรษฐกิจหลายสาขาที่สองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน 2) การพบปะหารือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนสำคัญของโมซัมบิก อาทิ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติโมซัมบิก ผู้บริหารศูนย์ส่งเสริมการลงทุนและผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ในโมซัมบิกเพื่อทำความรู้จักและขยายความร่วมมือเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนของไทยในโมซัมบิก โดยเน้นการหารือประเด็นการทำธุรกรรมทางการเงินเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ในการเข้าไปลงทุนในโมซัมบิก และ 3) การเข้าเยี่ยมคารวะนายคาร์ลูส อากูสตินโย ดู โรซารีอู นายกรัฐมนตรีของโมซัมบิก เพื่อหารือเกี่ยวกับความต้องการซื้อข้าวจากไทย 3 แสนตันและโอกาสในการขยายการลงทุนในสาขาที่ไทยมีความสนใจ โดยเฉพาะสาขาการเกษตร ประมง พลังงาน เหมืองแร่ ก่อสร้าง การท่องเที่ยว ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากเป็นสาขาเศรษฐกิจที่มีความสอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลโมซัมบิกต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า โมซัมบิกเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าสนใจและสามารถเป็นตลาดใหม่ของไทยในทวีปแอฟริกา เนื่องจากมีความต้องการนำเข้าสินค้า อาทิ ข้าว สินค้าเกษตรแปรรูปอาหาร เครื่องสำอาง ยารักษาโรคและอาหารเสริม ปุ๋ย และเครื่องจักรกลทางการเกษตร และมีสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนที่น่าสนใจหลายประการ โดยต้องการดึงดูดการลงทุนในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ อาทิ เกษตร พลังงาน (ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากหญ้าเนเปีย) เหมืองแร่ (อัญมณี) ก่อสร้าง (ขนส่ง บ้านพักอาศัย) และการท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งมีนักธุรกิจและนักลงทุนจากไทยหลายรายที่สนใจเข้ามาทำธุรกิจและลงทุนในโมซัมบิก
ผลจากการเดินทางเยือนโมซัมบิกในครั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์กำหนดจัดกิจกรรมต่อเนื่องจากการเยือนโดยจะจัดคณะผู้แทนการค้าภาคเอกชนเดินทางมาเข้าร่วมงานแสดงสินค้า The Maputo International Fair: FACIM 2016 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐโมซัมบิก ระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม ถึง 4 กันยายน 2559 กิจกรรมนี้เป็นการบูรณาการร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมาบูโต เป็นกิจกรรมสำคัญในการเฉลิมฉลองการเปิดสถานทูตไทยในประเทศนี้ด้วย โดยจะเชิญภาคเอกชน 4 กลุ่มมาร่วมงาน ได้แก่ อาหาร พลังงาน สาธารณูปโภค และท่องเที่ยว
สำหรับทวีปแอฟริกา ประกอบด้วย 54 ประเทศ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากทวีปเอเชีย มีพื้นที่รวมประมาณ 30.2 ล้านตารางกิโลเมตร หรือร้อยละ 6 ของพื้นที่โลก มีประชากรรวมกันมากกว่า 1,100 ล้านคน หรือร้อยละ 14.72 ของประชากรโลก อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และสินแร่มีค่าต่างๆ เช่น ถ่านหิน เพชร ทองคำ อัญมณี ประกอบกับประเทศส่วนใหญ่ในทวีปมีความมั่นคงทางการเมือง ทำให้มีนักลงทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้าไปลงทุนจำนวนมาก ส่งผลให้เศรษฐกิจของทวีปแอฟริกาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2556 แอฟริกาเป็นทวีปที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดของโลก (ร้อยละ 5.6) ในขณะที่เศรษฐกิจโลกโดยรวมชะลอตัว ทั้งนี้ World Bank คาดการณ์ไว้ว่า GDP ของทวีปแอฟริกาในปี 2559 จะขยายตัวร้อยละ 3.3 ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์ไทย จึงต้องเร่งผลักดันการเจาะตลาดแอฟริกา ซึ่งยังมีโอกาสอีกมาก ทั้งด้านเหนือ อิยิปต์ โมรอคโก ด้านตะวันตก ไนจีเรีย กานา เบนิน โกตดิวัวร์ แคเมอรูน ด้านใต้ แอฟริกาใต้ อังโกลา บอตสวานา เป็นต้น