สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ย้ำ 11 ส.ค.เริ่มทยอยปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 15 ลบ.

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday July 27, 2016 16:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 ส.ค.59 นี้ วงเงินคุ้มครองเงิน ฝาก จะอยู่ที่จำนวน 15 ล้านบาท ต่อรายผู้ฝาก ต่อสถาบันการเงิน ซึ่งจะครอบคลุมผู้ฝากที่มีเงินฝากภายในวงเงินคุ้มครองสูงถึง 99.90% ของผู้ฝากทั้งระบบ และจะค่อย ๆ ทยอยปรับจำนวนเงินคุ้มครองไปที่ 10 ล้านบาท 5 ล้านบาท และ 1 ล้านบาท ต่อรายผู้ ฝาก ต่อสถาบันการเงินโดยวงเงิน 1 ล้านบาทจะเริ่มใช้ในวันที่ 11 ส.ค.63 เป็นต้นไป ซึ่งจะครอบคลุมผู้ฝากที่มีเงินฝากภายในวง เงินคุ้มครองถึงจำนวน 98.18% ของผู้ฝากทั้งระบบ

                                       วงเงินการคุ้มครองเงินฝาก

                    ระยะเวลา                         กำหนดวงเงินความคุ้มครองเงินฝาก
          ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 2559 ถึง 10 ส.ค. 2561            จำนวน 15 ล้านบาท
          ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 2561 ถึง 10 ส.ค. 2562            จำนวน 10 ล้านบาท
          ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 2562 ถึง 10 ส.ค. 2563            จำนวน 5 ล้านบาท
          ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 2563 เป็นต้นไป                    จำนวน 1 ล้านบาท

ทั้งนี้ “พระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ.2559” ได้ออกประกาศแล้วเมื่อ วันที่ 13 กรกฎาคม 2559 ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2559 เนื่องจากภาครัฐเห็นว่าการขยาย เวลาจะมีข้อดีสำหรับประชาชนผู้ฝากเงินได้มีเวลาปรับตัว และวางแผนทางการเงินเพิ่มขึ้น มีเวลาพิจารณาผลิตภัณฑ์การเงินที่จะมาทด แทนเงินฝากที่เหมาะสมกับตนและมีเวลาที่สถาบันจะเพิ่มและขยายความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น

นายสรสิทธิ์ กล่าวถึงการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 59 ว่า สถาบันฯ ได้เร่งดำเนินงานให้เป็นไปตาม ยุทธศาสตร์ 4 ปี (59-62) เพื่อให้บรรลุพันธกิจของสถาบันและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยได้แก้ไขพระราชบัญญัติสถาบันคุ้ม ครองเงินฝาก พ.ศ.2551 เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 59 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแก้ไขพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก โดยมี ประเด็นที่สำคัญ คือ การปรับปรุงขั้นตอนกระบวนการจ่ายคืนแก่ผู้ฝากเงิน โดยยกเลิกการกำหนดให้ผู้ฝากเงินมายื่นขอรับเงิน ภายหลัง จากที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต โดยให้เป็นหน้าที่ของสถาบันที่จะต้องจ่ายคืนเงินฝากแก่ ผู้ฝากเงินตามวงเงินคุ้มครองที่ กำหนดภายใน 30 วันนับแต่วันที่วันที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต

ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ฝากเงินให้ได้รับเงินคืนเร็วยิ่งขึ้น ขณะนี้ร่างกฎหมายที่ขอแก้ไขอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

การเร่งรัดการพัฒนาระบบปฏิบัติงานจ่ายคืนผู้ฝาก เพื่อให้รองรับพันธกิจการจ่ายคืนเงินแก่ผู้ฝาก ซึ่งจะช่วยให้การจ่ายคืน เงินฝากมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว พร้อมทั้งมีการออกแบบให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และเป็นไปตามนโยบายของ ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย

การสื่อสารประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ประชาชน โดยเป็นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิและประโยชน์ที่ ประชาชนพึงได้รับจากระบบการคุ้มครองเงินฝาก โดยได้รับความร่วมมือจากธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด รวมทั้งประสานความร่วมมือกับสถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดสัมมนา จัด กิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่สถาบันการเงิน รวมจำนวน 14 ครั้ง และมีผลการประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้ร่วม กิจกรรมในระดับดีขึ้นไปเฉลี่ยร้อยละ 91.50

การเสริมสร้างความร่วมมือกับนานาชาติเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้และประสบการณ์กับประเทศต่าง ๆ โดยในปี 2559 สถาบันได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) กับสถาบันประกันเงินฝากประเทศเกาหลีใต้ และต่อ อายุ MOU กับกองทุนปกป้องผู้ฝากเงินสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ปัจจุบันสถาบันมีข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือกับสถาบัน ประกันเงินฝาก 7 ประเทศ ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ และสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว

การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่มาตรฐานสากล โดยมีการศึกษาและเสนอปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องการพัฒนาระบบ งานต่าง ๆ เพื่อรองรับการปฏิบัติงานจ่ายคืนผู้ฝาก รวมถึงการสร้างกลไกและความร่วมมือกับหน่วยงานภายใต้โครงข่ายความมั่นคง ทางการเงิน ทั้งกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย

สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี 59 สถาบันฯจะดำเนินการตามแผนงานที่เหลืออย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พร้อมดำเนินงานตาม พันธกิจที่กฎหมายกำหนดต่อไป

ณ สิ้นเดือนมิ.ย.59 ฐานะของกองทุนคุ้มครองเงินฝากมีจำนวน 1.15 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นไตรมาส 1/59 จำนวน 1,386.05 ล้านบาท โดยสถาบันได้นำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงตามที่กฎหมายกำหนด เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง ตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน เป็นต้น เพื่อให้กองทุนมีความมั่นคงและมีสภาพคล่องรวมทั้งได้รับผลตอบแทนที่ ดี

ณ วันที่ 31 มี.ค.59 เงินกองทุนของสถาบันการเงินในระบบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการจัดสรรกำไร ส่งผลให้อัตรา ส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ของระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นเป็น 17.50% เทียบกับสิ้นปี 58 ซึ่งอยู่ที่ 17.43% ด้านสภาพคล่อง การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (Liquidity Coverage Ratio : LCR) อยู่ที่ 172.69% สูงกว่าอัตราขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดที่ 60% และเพิ่มขึ้น 10% ในแต่ละปี จนครบ 100% ในปี 63 ขณะที่เงินฝากและสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน ในไตรมาสที่ 1 เติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 2.55% และ 3.86% จากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน ตามลำดับ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ