ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 3 ส.ค.59 จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ไว้ตามเดิม หลังจากทิศทางการใช้จ่ายภายในประเทศยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายของภาครัฐ เพื่อเก็บกระสุนในการดำเนินนโยบายการเงิน หรือ Policy Space ไว้ใช้ในยามที่จำเป็น และเตรียมรับมือกับปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีอยู่ตลอดช่วงครึ่งหลังของปี อาทิ ความเสี่ยงจาก BREXIT ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของธนาคารอิตาลี ปัญหาหนี้ภาคธุรกิจและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ตลอดจนการชะงักงันรอบใหม่ของเศรษฐกิจญี่ปุ่น
"การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในระดับปัจจุบันน่าจะเหมาะสมกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องระวังพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนที่สูง (Search for Yield) ของนักลงทุนบางส่วนต่อไป" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
โดยประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจที่มีผลให้ที่ประชุม กนง.ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คือ การรอติดตามพัฒนาการการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และสถานการณ์ความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกที่อยู่ในระดับสูง หลังเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนหลายรายการมีสัญญาณขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ยอดขายรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ โดยส่วนหนึ่งคงได้รับอานิสงส์จากรายได้เกษตรกรที่เริ่มปรับดีขึ้น หลังจากราคาสินค้าเกษตรเริ่มขยับสูงขึ้น ขณะที่แรงสนับสนุนจากการลงทุนของภาครัฐ และมาตรการในการดูแลช่วยเหลือเกษตรกรในระยะข้างหน้าน่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้การฟื้นตัวของบริโภคสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อรวมกับการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และภาคการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวในเกณฑ์ดี ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 3.0%
"ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงมองว่า กนง.น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% เพื่อเป็นการสงวนช่องว่างในการดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อใช้ในยามที่จำเป็น/เพื่อรับมือกับความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังมีอยู่มาก" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่อาจมีแนวโน้มคุกคามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากขึ้นในระยะข้างหน้า อาจส่งผลให้ธนาคารกลางหลายๆ แห่งมีโอกาสที่จะออกมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม จากการที่เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความเสี่ยงในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นความเสี่ยงจาก BREXIT ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของธนาคารอิตาลี ตลอดจนความเสี่ยงต่อปัญหาหนี้ภาคธุรกิจของจีน และการชะงักงันรอบใหม่ของเศรษฐกิจญี่ปุ่น อาจส่งผลต่อเนื่องให้ธนาคารกลางของประเทศที่เป็นแกนหลักของโลกจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นทางการเงินเพิ่มเติม แม้ว่าข้อจำกัดและประสิทธิผลของเครื่องมือนโยบายการเงินจะยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เช่น มติการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 28-29 ก.ค.59 ได้ส่งสัญญาณผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมผ่านการเพิ่มการซื้อกองทุน ETF ซึ่งเป็นมาตรการที่เบากว่าที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ ท่าทีพร้อมผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางแกนหลักของโลกคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ ซึ่งรวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถดำเนินนโยบายการเงินไปในเชิงผ่อนคลายได้ต่อเนื่อง เพื่อช่วยหนุนเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ เฟดยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปีนี้ โดยการประชุมของเฟดในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เฟดยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน และภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ ซึ่งหากภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า อาจจะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดมีโอกาสที่จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ในช่วงปลายปีนี้
"ขณะนี้ตลาดการเงินคาดการณ์ถึงโอกาสประมาณ 45% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบวันที่ 13-14 ธ.ค.59 หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามากระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ในกรณีที่เฟดเริ่มกระบวนการในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง อาจส่งผลให้ธนาคารกลางต่างๆ รวมทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องกลับมาทบทวนความเหมาะสมของจุดยืนเชิงนโยบาย กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และความเสี่ยงต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายที่อาจจะมีความผันผวนมากขึ้นในช่วงเวลานั้นด้วยเช่นกัน" เอกสารเผยแพร่ ระบุ