นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า นายชินโกะ ซาโตะ ประธานหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย (JCC) พร้อมคณะผู้บริหารชุดใหม่ มาเข้าพบวานนี้เพื่อแนะนำตัว พร้อมขอทราบนโยบายด้านเศรษฐกิจ และหารือเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ตลอดจนรายงานผลการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยช่วงครึ่งแรกของปี 59
ทั้งนี้ ผลสำรวจดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยมีแนวโน้มเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นกว่าครึ่งหลังของปี 58 ประเทศไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น และคาดว่าเศรษฐกิจในประเทศไทยจะปรับตัวดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 59 ซึ่งบริษัทญี่ปุ่น 33% มีแผนจะขยายการลงทุนในประเทศ และบริษัทญี่ปุ่นอีก 50% จะไม่เปลี่ยนแปลงปริมาณการส่งออกจากประเทศไทย
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้ให้คำยืนยันที่จะพยายามดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนชาวญี่ปุ่น รวมถึงประสานหน่วยงานอื่นพิจารณาในประเด็นที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยและประเด็นปัญหาต่างๆ ทางพิธีการศุลกากรของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย
พร้อมกันนี้ได้แจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน โดยมีนโยบายต่างๆ อาทิ นโยบายการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการทำธุรกิจและการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนการพัฒนาผู้ประกอบการ การยกระดับอุตสาหกรรมสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรม และการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Thailand Plus One ของญี่ปุ่น ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความยินดีที่จะต้อนรับผู้ประกอบการ SME และนักลงทุนของญี่ปุ่นที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างหลากหลายเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามพ้นกับดักรายได้ปานกลางและมุ่งไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ อาทิ ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (2017–2036) เศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต และนโยบายประเทศไทย 4.0 เป็นต้น
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ ขอให้กระทรวงพาณิชย์สนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา มีจำนวนสมาชิกผู้ประกอบการ SME ของญี่ปุ่น มาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น จึงต้องการให้รัฐบาลไทยออกมาตรการส่งเสริมแรงจูงใจในการลงทุนให้มากกว่าที่ได้รับในขณะนี้ อีกทั้ง ยังได้หารือเกี่ยวกับการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) โดยทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า ปรารถนาให้การเจรจาความตกลงดังกล่าวบรรลุผลได้ภายในปลายปี 2559 ตามที่ได้ตกลงไว้ เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global Value Chain) ของประเทศสมาชิก
สำหรับญี่ปุ่นเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย เป็นคู่ค้าอันดับที่ 2 ของไทย รองจากจีน ในปี 2558 มูลค่าการค้ารวมประมาณ 51,311.75 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปี 2557 ที่มีมูลค่า 57,247.38 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 10.37 โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2554-2558) มีมูลค่าการค้าเฉลี่ยปีละ 62,031.29 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ในปี 2559 (ม.ค.-พ.ค.) การค้ารวมระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมีมูลค่า 20,889.77 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 4.38