นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีประชาชนแสดงความกังวลต่อระบบความปลอดภัยในการลงทะเบียน PromptPay จึงมีแนวคิดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไปประสานงานกับเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อจะตั้งโต๊ะให้บรรดาคณะรัฐมนตรีออกมาลงทะเบียน PromptPay เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ทั้งนี้ย้ำว่าระบบ PromptPay มีความปลอดภัยสูง และเชื่อว่าจะสามารถเดินหน้าพร้อมกันทุกธนาคารทั่วประเทศได้ภายในเดือน ต.ค.59
ส่วนการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ระบบอิเล็คทรอนิกส์แห่งชาติ (Nation e-Payment) วันนี้ จากการหารือร่วมกับผู้บริหารกระทรวงการคลังเพื่อเตรียมแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อสร้างระบบเชื่อมโยงการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ทำให้ขณะนี้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยที่เดินมาถึงตอนนี้ดีขึ้นโดยลำดับ
และที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ทำงานตามนโยบายรัฐบาลที่เตรียมไว้หลายโครงการลุล่วงได้เป็นอย่างดี โดยนโยบายของรัฐบาลที่สำคัญแบ่งเป็น 4 เรื่อง คือ 1.การลดความเหลื่อมล้ำ ลดความยากจน 2.สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 3.สร้างความโปร่งใสและธรรมาภิบาล 4.การพัฒนาด้านสังคม
"ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ทำงานตามโครงการที่รัฐบาลฝากไว้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปในหลายด้าน ทั้งการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยผ่านการลงทะเบียนเพื่อรับสวัสดิการของรัฐ ซึ่งตอนนี้ทราบว่ามีประชาชนมาลงทะเบียนแล้วกว่า 2 ล้านราย ซึ่งไม่ได้มีความเป็นห่วงว่ายอดลงทะเบียนมีน้อยเกินไปหรือไม่ เพราะตามทฤษฎีแล้วคนไทยจะไม่กล้าลองอะไรใหม่ ๆ ดังนั้น ถ้ามีการประชาสัมพันธ์มากขึ้น คนก็น่าจะเข้าใจมากขึ้น และน่าจะเข้ามาลงทะเบียนมากขึ้นเช่นกัน" นายสมคิด กล่าว
พร้อมระบุว่า ในระหว่างนี้กำลังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาหามาตรการที่จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยออกมาให้มีความชัดเจน ซึ่งเชื่อว่าถ้าประชาชนได้เห็นว่ามาตรการที่ภาครัฐจะออกมานั้นสามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้จริง ก็น่าจะเป็นผลให้มีประชาชนมาลงทะเบียนกันมากขึ้น
รองนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศว่า ได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้กลับไปเร่งรัดเรื่องการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure fund) ต่างๆ ที่ต้องการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 หรืออย่างช้าต้นไตรมาส 4 ของปีนี้ หลังจากที่โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าเกณฑ์ PPP ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและเดินหน้าไปแล้วหลายโครงการ ซึ่ง Infrastructure fund ก็น่าจะพร้อมดำเนินการด้วยเช่นกัน
นายสมคิด กล่าวว่า ในส่วนของเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในไทยมากนั้น เป็นเพราะต่างชาติมองเห็นว่าแม้ไทยจะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็เป็นประเทศที่มีความสำคัญทั้งในเชิงการเมืองและเชิงเศรษฐกิจ และไทยเองเป็นจุดยุทธศาสตร์ของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งหลายอย่างสะท้อนว่าพื้นฐานของไทยมีความแข็งแกร่ง ดังนั้นถ้าไทยวางตัวได้ดีก็จะเป็นจุดสนใจที่มากสุดในกลุ่มอาเซียนที่ประเทศมหาอำนาจจะนำเงินเข้ามาลงทุน
"ตรงนี้สะท้อนว่าต่างชาติพอใจ และมั่นใจประเทศไทย และเราเองก็ต้องมั่นใจในตัวเองว่าเรามีดี" นายสมคิด กล่าว
ส่วนโมเดล"เห็บสยาม"ตามแนวคิดของปลัดกระทรวงการคลังนั้น นายสมคิด ระบุว่า ประเทศไทยไม่ใช่เห็บ แต่ไทยจะเป็นเสือซุ่มที่รอจังหวะทะยานออกไป ซึ่งถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ดี เราก็รอเวลาด้วยการเหลาเขี้ยวเล็บให้พร้อม แต่เมื่อเศรษฐกิจโลกดีขึ้น เราก็พร้อมที่จะกระโดดออกไป ซึ่งการกระโดดก็ต้องมียุทธศาสตร์ ต้องกระโดดอย่างเสือ ไม่ใช่กระโดดออกไปแล้วกลายเป็นลิง
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน e-Payment ว่า ขณะนี้ 5 โครงการตามแผนงานขับเคลื่อน e-Payment เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทะเบียน PromptPay ที่ยืนยันว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการพร้อมกันทั้งระบบได้ภายในเดือน ต.ค.นี้ ขณะที่ต้องมีการหารือกันเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่จะมอบให้กับผู้ที่ติดตั้งอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) โดยเฉพาะร้านค้าขนาดเล็ก เนื่องจากต้องแบกรับต้นทุนในส่วนนี้เอง
"เบื้องต้นคุยกันถึงสิทธิประโยชน์ที่จะให้สำหรับร้านค้าขนาดเล็กที่ติดตั้งเครื่อง EDC เช่น การให้นำรายจ่ายจากการติดตั้งเครื่องดังกล่าวมาหักลดหย่อนภาษี เป็นต้น ซึ่งตรงนี้จะเป็นการส่งเสริมให้ร้านค้าขนาดเล็กเข้าระบบมากขึ้นด้วย และจะให้ส่วนราชการมีการติดตั้งเครื่อง EDC ด้วยเช่นกัน โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในส่วนนี้ภายในเดือน ก.ย.59" นายอภิศักดิ์ กล่าว
สำหรับการรับและจ่ายเงินของส่วนราชการผ่านระบบ e-Payment นั้น ยืนยันว่าจะเริ่มดำเนินการพร้อมกันได้ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่การลงทะเบียนของผู้มีรายได้น้อยเพื่อรับสวัสดิการแห่งรัฐนั้นยังเดินหน้าได้ต่อเนื่อง โดยยืนยันเช่นกันว่าผู้ที่มาลงทะเบียนจะได้รับสวัสดิการที่รัฐจัดให้ใหม่ ซึ่งไม่รวมกับที่ได้รับอยู่เดิม ทั้งเบี้ยคนชราเดือนละ 600 บาท และสวัสดิการสำหรับเด็กแรกเกิด
รมว.คลัง ยอมรับว่า ได้มีการหารือเรื่องสวัสดิการที่จะมอบให้แก่ผู้มีรายได้น้อย แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป โดยยืนยันว่าการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะจะเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญที่ทำให้รัฐบาลสามารถนำมาพิจารณาสวัสดิการที่จะมอบให้แต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุดที่สุด ทำให้รัฐบาลให้ความช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่ทุกคนอย่างเหมาะสม
"มีการคุยกันว่าอยากให้แยกกระเป๋าเงินสำหรับคนที่มาลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยออกมา เพื่อให้สามารถรับสวัสดิการที่รัฐบาลจัดให้ได้อย่างตรงจุดประสงค์ที่สุด เช่น บริการรถเมล์ฟรีที่หากเป็นผู้ลงทะเบียนรายได้น้อยก็จะได้รับสิทธิขึ้นฟรีทันที แต่ถ้าไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายก็จะต้องเสียเงิน ซึ่งต้องนี้จะต้องไปผูกกับเรื่องตั๋วร่วมของกระทรวงคมนาคมที่ระบุว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.นี้ ขณะที่ e-Payment ของเราจะเริ่มเดินหน้าได้ ต.ค.59 ก็จะเอามาผูกกัน เพื่อให้บริการประชาชนได้ ส่วนเรื่องสวัสดิการที่เคยทำมาแล้ว ทั้งเบี้ยคนชราและสวัสดิการเด็กแรกเกิดเราจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่ที่เราจะให้ใหม่นี้จะเป็นของแถมเพิ่มเติมเข้าไป"นายอภิศักดิ์ กล่าว