นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยในงาน CCO - MOF สัญจร อุดรธานีว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบการจัดตั้งเมืองการค้าปลอดภาษี (Border Town) ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดน โดยเบื้องต้นจะเสนอให้มีการตั้งให้ครบในพื้นที่เขตเศรษฐกิจ 4 แห่ง ได้แก่ พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.สงขลา จ.หนองคาย จ.สระแก้ว และ จ.ตาก โดยจะเปิดกว้างให้เอกชนทั้งรายเล็กและรายใหญ่เข้ามาค้าขายในเขตปลอดภาษีดังกล่าวได้อย่างเสรี
นอกจากนี้ เขตปลอดภาษีดังกล่าวจะส่งเสริมการค้าชายแดน โดยจะเปิดให้ผู้ประกอบการในประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการซื้อสินค้า สามารถมาสั่งซื้อสินค้าในเขตปลอดภาษีได้ โดยไม่ต้องเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ซึ่งจะเป็นการประหยัดเวลา และจะได้ซื้อสินค้าในราคาที่ถูกกว่าปกติด้วย
ขณะเดียวกันจะเปิดโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าไปซื้อสินค้าในเขตปลอดภาษีดังกล่าวด้วย โดยจะมีการกำหนดให้สามารถซื้อได้รายละไม่เกิน 2 หมื่นบาทต่อคน โดยจะต้องซื้อบัตรแสดงตัวตนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้เปิดกว้างเหมือนที่ผู้ประกอบการมาซื้อสินค้าเพื่อไปขาย ซึ่งในส่วนนี้จะทำให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัวได้เร็วขึ้น เพราะจะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น
"เขตปลอดภาษีตรงนี้ ผู้ประกอบการจะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีนำเข้าสินค้าของกรมสรรพสามิต รวมถึงจะพิจารณาลดภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการที่เข้ามาค้าขายในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เช่น อาจจะลดภาษีให้ 0% เป็นเวลา 8 ปีเหมือนบีโอไอก็ได้ ตรงนี้ต้องไปดูก่อน เพราะหากดูแล้วเห็นว่าจะทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่าก็พร้อมจะดำเนินการ" นายอภิศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้เสนอมาตรการดูแลเศรษฐกิจเพิ่มเติมให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยเฉพาะการดูแลผู้มีรายได้น้อย การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการที่จะเสนอให้มีการใช้มาตรา 44 เอาผิดอย่างรุนแรง ด้วยการจำคุกเจ้าหนี้นอกระบบที่คิดอัตราดอกเบี้ยเกิน 15% พร้อมทั้งจะมีการเปิดให้เจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาลงทะเบียน เพื่อปล่อยกู้ในระบบผ่านตามโครงการพิโคไฟแนนซ์ ที่จะให้ปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 36% ต่อปี
ขณะเดียวกัน จะให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตั้งหน่วยงานเพื่อปล่อยกู้ฉุกเฉินสำหรับผู้มีรายได้น้อยในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลจะชดเชยให้ แต่ต้องเป็นการปล่อยกู้ที่มีความจำเป็นจริงๆ
อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังยังเตรียมมาตรการเพื่อดูแลผู้สูงอายุ โดยจะเสนอให้มีการตั้งกองทุนบำนาญแห่งชาติ (กบช.) และเสนอให้มีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับเอกชนที่จ้างผู้สูงอายุเกิน 60 ปีทำงาน รวมถึงมาตรการแปลงบ้านเป็นสินเชื่อเพื่อให้ผู้สูงอายุมีเงินไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน