พลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน คาดว่าราคาขายปลีกน้ำมันของไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ทั้งในกลุ่มราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และน้ำมันดีเซลซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงหลักที่สำคัญในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม จะทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบันที่ 23-25 บาท/ลิตร ซึ่งจะส่งผลดีต่อค่าไฟฟ้าที่ไม่ปรับเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้ โดยภาพรวมจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ราคาน้ำมันขายปลีกที่มีแนวโน้มทรงตัวในระดับปัจจุบัน เนื่องจากปริมาณการผลิตน้ำมันของโลกเริ่มมีแนวโน้มลดลงใกล้เคียงกับความต้องการใช้ในระดับ 95-96 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันตลาดโลกในช่วงครึ่งปีหลังของปี 59 มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ที่ 35-40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หากไม่มีกรณีฉุกเฉิน เช่น การเกิดสงครามในประเทศตะวันออกกลาง การลดลงของปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และนอกโอเปก
โดยราคาน้ำมันดิบดูไบในช่วงต้นเดือนสิงหาคม อยู่ในระดับประมาณ 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากสต็อกของประเทศผู้ใช้น้ำมันที่สำคัญ เช่น สหรัฐ และประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ลดลง แม้ว่าปริมาณการผลิตของแคนาดา ไนจีเรีย และลิเบียมีการผลิตเพิ่มขึ้น แต่ผลของการลงประชามติที่อังกฤษจะถอนตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) และเศรษฐกิจโลกที่ยังขยายตัวอย่างเชื่องช้า มีผลทำให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับทรงตัว
พลเอกอนันตพร กล่าวเพิ่มว่า จากการส่งต่อข้อมูลเปรียบเทียบราคาน้ำมันขายปลีกของไทย และประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศมาเลเซียผ่านทางโซเชี่ยลมีเดีย และมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ราคาน้ำมันขายปลีกของไทยสูงกว่าประเทศมาเลเซียมาก ซึ่งเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคนั้น กระทรวงพลังงานขอชี้แจงว่าเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นจริง เพราะราคาตั้งต้น อันได้แก่ ราคา ณ โรงกลั่น จะสะท้อนต้นทุนราคาในตลาดโลกที่ใกล้เคียงกัน
แต่ที่ราคาน้ำมันขายปลีกของไทยแตกต่างไปจากประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากมีโครงสร้างการจัดเก็บภาษีน้ำมันที่แตกต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่น ประเทศมาเลเซียมีนโยบายไม่เก็บภาษีน้ำมัน จึงทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศมาเลเซียต่ำกว่าของประเทศไทย ถึงประมาณ 5-6 บาท/ลิตร ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาน้ำมันขายปลีกแพงกว่าประเทศไทย เช่น ประเทศสิงคโปร์ เวียดนาม และสปป.ลาว เป็นต้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับนโยบายราคาน้ำมันของประเทศนั้น ๆ