นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า เชื่อว่าเหตุรุนแรงในภาคใต้นั้น รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงยังดูแลสถานการณ์ได้ และเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบยืดเยื้อ และไม่เป็นความเสี่ยงต่อเศษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง
ส่วนเรื่องร่างรัฐธรรมนูญผ่านการลงประชามติ มองว่าจะเป็นผลบวกต่อ Sentiment ของตลาดหุ้น ส่วนที่จะมีผลในภาพรวมต่อเศรษฐกิจในไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 ได้มากน้อยแค่ไหน ทางสภาพัฒน์ฯ ประเมินว่ามีโอกาสที่ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะโตได้ใกล้เคียงกับในครึ่งปีแรก หรืออาจจะสูงกว่าได้มาก และมองว่าทั้งปีมีความเป็นไปได้มากที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตในระดับ 3.3-3.5%
นายปรเมธี กล่าวต่อว่า หากไม่มีอะไรผันผวนหรือรุนแรงจะทำให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังโตได้มากกว่าครึ่งแรก และเชื่อว่าทั้งปี 59 จะเติบโตได้ดีกว่าปี 58 แน่นอน รวมทั้งเชื่อว่าเศรษฐกิจในระดับ 3.3-3.5% นี้น่าจะเป็นตัวที่ทำให้นักลงทุนมองเห็นโอกาสในการลงทุนและตัวเลขศกงของไทยน่าจะเป็นที่น่าสนใจในสายตานักลงทุนมากขึ้น
ส่วนค่าเงินบาทที่สภาพัฒน์ได้ปรับแนวโน้มคาดการณ์ให้แข็งค่าขึ้นมาที่ 35-36 บาท/ดอลลาร์ จากเดิมที่เคยประเมินไว้ที่ 35.50-36.50 บาท/ดอลลาร์นั้น เนื่องจากมองว่า ในช่วงครึ่งปีหลังจะยังมีเงินทุนไหลเข้าต่อเนื่องทั้งในภูมิภาคและในไทย จากผลของ Brexit ซึ่งจะมีผลทำให้เงินบาทแข็งค่า ดังนั้นจึงมองว่าการดูแลค่าเงินบาทในช่วงปีหลังให้มีทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาคจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการและการส่งออกโดยรวมของประเทศไทย
"ก็คงต้องดูว่าเงินบาทจะแข็งค่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เมื่อเทียบกับภูมิภาคอย่างไรเพราะจะเป็นตัวกำหนดขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่เชื่อว่าเราน่าจะรักษาขีดความสามารถของค่าเงินได้...การดูแลเงินบาทให้มีทิศทางเดียวกับภูมิภาคเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อไม่ให้กระทบกับรายได้ของผู้ประกอบการและภาคการส่งออก"เลขาธิการ สภาพัฒน์ กล่าว