นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง สั่งการกรมสรรพากรจ้างเอกชนมาทำการศึกษาการขยายฐานภาษีในอนาคต เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดเก็บภาษีที่มีการรั่วไหล
ปัจจุบันฐานภาษีของกรมสรรพากรน้อยเกินไป มีบุคคลธรรมดาที่ยื่นแบบภาษี 10.9 ล้านราย แต่มีผู้เสียภาษีเพียง 3-4 ล้านรายเท่านั้น จากแรงงานในระบบทั้งหมด 30 ล้านคน ขณะที่การยื่นแบบภาษีนิติบุคคลมี 6 แสนราย มีผู้เสียภาษีเพียง 4 แสนราย จากนิติบุคคลทั้งประเทศกว่า 1 ล้านราย แสดงให้เห็นว่ายังมีบุคคลที่อยู่นอกระบบภาษีจำนวนมาก ซึ่งทางกรมสรรพากรควรมีแผนและข้อมูลให้ชัดเจนว่าจะขยายฐานภาษีในส่วนที่อยู่นอกระบบอย่างไร
"อย่างในอีก 4-5 ปีข้างหน้า กรมสรรพากรควรมีฐานภาษีของผู้เสียภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดามากขนาดไหนถึงมีความเหมาะสม...กรมสรรพากรต้องยอมรับว่าการเก็บภาษียังรั่วไหล จึงต้องไปคิดแผนงานที่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร หากประเมินไม่ได้ว่าจะขยายฐานภาษีอย่างไรและควรเป็นเท่าไร ก็ได้แนะนำกรมสรรพการให้ไปจ้างเอกชนมาทำการศึกษาให้"นายสมชัย กล่าว
พร้อมกันนั้น ยังสั่งให้กรมสรรพากรทำแผนที่ภาษีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลโดยละเอียด เช่น บ้านอยู่ที่ไหน มีการพักอาศัยกี่คน มีรายได้จากไหนบ้าง มีทรัพย์สินเท่าไร มีการใช้ไฟฟ้ามากน้อยขนาดไหน เพื่อนำมาประเมินการเก็บภาษีให้ได้แม่นยำและสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น ซึ่งหากต้องแก้กฎหมายเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ให้กรมสรรพากรเสนอมากระทรวงการคลังพร้อมสนับสนุน
นายสมชัย กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นยังเสนอให้กรมสรรพกรตั้งสำนักมาตรฐานคืนภาษี เพื่อให้การคืนภาษีรวดเร็วมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีการคืนภาษีใช้เวลานานและใช้บุคคลากรจำนวนมาก ซึ่งในส่วนนี้ควรนำมาใช้ในเรื่องของการเก็บภาษีและการตรวจสอบภาษีมากกว่า รวมทั้งสั่งให้ตรวจสอบและเอาผิดกับผู้ขายใบกำกับภาษีปลอมที่ยังพบเห็นในระบบออนไลน์จำนวนมาก โดยให้จัดการที่ต้นตอ รวมถึงห้ามเจ้าหน้าที่ไปเป็นที่ปรึกษาภาษีและทำบัญชีให้กับบริษัทเอกชน เพราะเป็นเรื่องผิดจรรยาบรรณ และให้ไปลดบทบาทของสำนักงานผู้ตรวจสอบบัญชี หลังจากมีเอกชนร้องเรียนว่ามีต้นทุนสูงเกินไป