นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ สั่งบมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) เร่งโครงการพัฒนาสนามบินเพื่อผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการบิน พร้อมเป็นศูนย์กลางการค้า และศูนย์กลางการท่องเที่ยว รวมทั้งจะเร่งเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่ในปีหน้าเพื่อให้รัฐบาลใหม่เข้ามาสานต่อ และย้ำเศรษฐกิจของประเทศไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และกำลังฟื้นตัว
"ผมเคยกล่าวมาหลายครั้งแล้วว่า โดยธรรมชาติด้านที่ตั้ง เราเป็นศูนย์กลางของอาเซียนอยู่แล้ว แต่จะเป็นจริงหรือไม่ มันอยู่ที่การสร้างหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง เพื่อให้โลกได้เห็นว่า ไทยนี่แหละ คือศูนย์กลางที่แท้จริงของอาเซียน ไม่ใช่ประเทศอื่น และหนึ่งในนั้น ก็คือการเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นจริงได้ ก็ต่อเมื่อเราเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคนี้ให้ได้"นายสมคิด กล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการหารือกับนายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท. และกระทรวงคมนาคมว่า ประเทศไทยจะต้องยกระดับพัฒนาสนามบินของ ทอท. โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนที่แท้จริง ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคนี้
นอกจากนี้ อยากให้เร่งพัฒนาและยกระดับอีก 5 สนามบินที่เหลือของ ทอท. ไม่ว่าจะเป็นสนามบินดอนเมือง ซึ่งในอนาคตหวังว่าจะเป็นศูนย์กลางทางการบินภายในประเทศ รวมถึงสนามบินเชียงใหม่ สนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงราย สนามบินหาดใหญ่ และสนามบินภูเก็ต เพื่อหนุนปริมาณการค้าการลงทุนที่เพิ่มขึ้น และในอนาคตข้างหน้า ภาคการท่องเที่ยวก็จะขยายตัวตามมา อะไรที่ทำได้ก่อน ก็ทำให้เสร็จก่อน ทางกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.ก็รับปากว่าจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด โปร่งใสที่สุด และตนเองก็หวังว่าจะเห็นการดำเนินงานอย่างเร่งด่วน
นายสมคิด กล่าวว่า การพัฒนาสนามบินเหล่านี้ ไม่ได้เป็นแค่ปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในยามที่การลงทุนจากภาครัฐเป็นตัวหลักเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขัน หากในอนาคตไทยสามารถผลักดันให้สนามบินดอนเมือง เป็นศูนย์กลางการบินภายในประเทศ และผลักดันให้สนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินพาณิชย์ระดับสากล เสริมทัพสนามบินสุวรรณภูมิ ก็จะช่วยทำให้ไทยเป็นเกตเวย์จริงๆ ของภูมิภาคนี้ตามที่ฝันไว้
"ผมเองก็จะพยายามให้ความช่วยเหลือ โดยได้คุยกับกระทรวงคมนาคมไว้ว่า ภายในปี 60 อะไรที่เกิดก่อนได้ ก็ขอให้รีบเกิด อย่าทำงานในลักษณะแบบเรื่อยๆ อีกต่อไป ซึ่งกระทรวงคมนาคมวันนี้ ผมว่าเข้าใจแนวทางนี้อย่างดียิ่งแล้ว เราต้องทำงานให้เข้มแข็งมากกว่าภาคเอกชนเสียอีก เพื่อให้ประเทศไทยสามารถพลิกโฉมขึ้นมาได้"
ในปีหน้า ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะร่วมกับทีมงานและข้าราชการทั้งหลาย ทำเรื่องใหญ่ๆ เพราะเวลานั้นมีไม่มากที่จะทำทุกเรื่อง เรื่องใหญ่ๆ ในการที่จะช่วยยกระดับรายได้ของชุมชน ช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และทำบางสิ่งบางอย่างให้กับสังคม ซึ่งในยามปกตินั้นทำได้ยาก ผมไม่เชื่อว่าจะมีอะไรมาหยุดยั้งการเจริญเติบโตของประเทศไทยได้ ประเทศไทยต้อง Take Off แน่นอน"นายสมคิด กล่าว
สำหรับเรื่องใหญ่ๆ ที่ว่านั้น คือเรื่องของ AEC ที่ต้องวางรากฐานให้ได้ เรื่องกระทรวงการคลังมีหลายเรื่องทีเดียว เรื่องกระทรวงไอซีทีก็มีหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น “ดิจิทัล อีโคโนมี" “ครีเอทีฟ อีโคโนมี" และเรื่อง “สตาร์ทอัพ" เพราะพวกนี้มันเริ่มก่อตัวเป็นวุ้นแล้ว ก็อยากให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เพื่อรัฐบาลหน้าจะได้มาสานต่อได้ โครงการใหญ่ๆ อย่างรถไฟ สนามบิน ท่าเรือ ก็อยากให้เริ่มนับหนึ่งกันในตอนนี้ เพื่อให้นับ 2 3 4 และ 5 ต่อไป ที่นับยากที่สุดก็คือนับหนึ่งนี่แหละ
"สำหรับการลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ วันนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนภาครัฐ มูลค่า 5-6 หมื่นล้านบาท และจะทยอยตามมาเรื่อยๆ และก็ต้องขอร้องภาคเอกชนว่า อย่ามัวแต่พึ่งพิงภาครัฐ อย่ามัวแต่พึ่งพิงว่าเมื่อไหร่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ บริษัทใหญ่ๆ ต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง รุกไปข้างหน้าด้วยตัวเอง สอดรับกับความพยายามของรัฐบาล และเมื่อนั้นทุกอย่างจะดีขึ้นแน่นอน"
ด้านกรณีกลุ่มแอร์เอเชียเสนอตัวขอร่วมลงทุนพัฒนาสนามบินดอนเมืองกับ ทอท. นายสมคิด บอกว่า เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปตามครรลองธรรมชาติ ใครสนใจก็ต้องมาติดต่อ ทอท.ว่าจะร่วมกันพัฒนาอย่างไร ไม่ใช่แค่กลุ่มเดียว โดยเลือกเอากลุ่มที่น่าสนใจมาร่วมพัฒนา ประเทศไทยจะได้เป็นศูนย์กลางที่แท้จริง อย่าให้ไปอยู่ที่ประเทศอื่น