นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานว่า ที่ประชุมเห็นชอบนโยบายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร หรือ เมดิคัล ฮับ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยจะให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแก่กิจการผลิตยา และกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ครบวงจร รวมทั้งจะสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพของคนในประเทศ ช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงยาและเครื่องมือแพทย์ และลดการขาดดุลการค้าจากการนำเข้ายาและเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศ
ทั้งนี้ ภายใต้นโยบายดังกล่าว จะเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่โครงการลงทุนในกลุ่มกิจการผลิตยา และกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ โดยกิจการผลิตยาในปัจจุบันไม่ได้รับการยกเว้นภาษี ก็จะเปลี่ยนเป็นให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี และหากโครงการใดยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนภายในปี 2560 จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี เพื่อช่วยลดภาระผู้ผลิตยาที่จะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการปรับปรุงโรงงานผลิตให้ได้มาตรฐาน GMP ตามแนวทาง PIC/S
ส่วนกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ ซึ่งปัจจุบันให้การส่งเสริมอยู่แล้ว แต่เพื่อสนับสนุนให้กิจการเอสเอ็มอีไทยสามารถลงทุนผลิตเครื่องมือแพทย์ได้ จึงเห็นชอบให้เพิ่มประเภทกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ในมาตรการส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย (มาตรการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งจะช่วยให้กิจการเอสเอ็มอีที่ผลิตเครื่องมือแพทย์ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นอีก 2 ปี จากเกณฑ์ปกติ เช่น กิจการเครื่องมือแพทย์ที่ได้ยกเว้นภาษี 5 ปี ก็จะได้ยกเว้น 7 ปี เป็นต้น
สำหรับการส่งเสริมกิจการสถานพยาบาล จำเป็นจะต้องรอรายละเอียดของธรรมนูญว่าด้วยเรื่องระบบสุขภาพแห่งชาติ และนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข จากนั้นบีโอไอจะดำเนินการจัดทำแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในกิจการสถานพยาบาลเพื่อนำเสนอบอร์ดพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนภายใต้โครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" เพื่อให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาลในการจัดทำโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้กับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ใน 3 พื้นที่ได้แก่ 1.อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เป็นเมืองต้นแบบการพัฒนา
“เกษตรอุตสาหกรรมก้าวหน้าผสมผสาน" (Agricultural Industry City) 2. อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นเมืองต้นแบบการพัฒนาที่พึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน (Sustainable Development City) และ 3. อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส เป็นเมืองต้นแบบการค้าชายแดนระหว่างประเทศ (International Border City) โดยให้เพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับโครงการลงทุนใหม่ใน 3 พื้นที่ดังกล่าว ให้สูงกว่าสิทธิประโยชน์ของมาตรการส่งเสริมการลงทุนใน 4 จังหวัดภาคใต้ และ 4 อำเภอ ของสงขลา ได้แก่ หักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า และ ค่าประปา 2 เท่า เป็นเวลา 20 ปี (เพิ่มจาก 15 ปีเป็น 20 ปี) ลดหย่อนอากรขาเข้า 90% สำหรับวัตถุดิบนำเข้ามาผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นเวลา 10 ปี (เพิ่มจาก 5 เป็น 10) ยกเว้นอากรขาเข้าวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นสำหรับการผลิตเพื่อการส่งออก เป็นระยะเวลา 10 ปี (เพิ่มจาก 5 เป็น 10)
นอกจากนี้ยังให้เพิ่มประเภทกิจการที่ยกเลิกการส่งเสริมไปแล้ว แต่เปิดให้การส่งเสริมใหม่เฉพาะในพื้นที่ 3 อำเภอ ประกอบด้วย 1 กิจการผลิตอาหารสัตว์หรือส่วนผสมอาหารสัตว์ 2 กิจการผลิตวัสดุก่อสร้าง และกิจการผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงสำหรับงานสาธารณูปโภค (ยกเว้นการผลิตกระเบื้องมุงหลังคาเซรามิกส์และการผลิตกระเบื้องปูพื้นหรือผนัง) 3กิจการผลิตสิ่งปรุงแต่งสำหรับประทินร่างกาย เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน (ยกเว้นเครื่องสำอาง) 4 กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับสินค้าอุปโภค เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติก 5 กิจการผลิตสิ่งของจากเยื่อหรือกระดาษ เช่น กล่องกระดาษ 6 กิจการพัฒนาอาคารสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม และ/หรือ คลังสินค้า