นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมและเจโทรเห็นพ้องร่วมกันถึงความสำคัญของการค้าในภาคบริการที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มมากขึ้น จากในปี 2558 ภาคบริการของไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 51.9 ของ GDP และมีการจ้างงานสูงถึงร้อยละ 45 ของการจ้างงานทั้งหมดของประเทศ
ขณะที่ธุรกิจบริการด้าน Hospitality ซึ่งเป็นธุรกิจเป้าหมายของการจัดงานในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในธุรกิจบริการศักยภาพที่รัฐบาลไทยมีนโยบายผลักดันและส่งเสริมอย่างเต็มที่เพื่อให้เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มธุรกิจในคลัสเตอร์นี้ เป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว ซึ่งในปี 2558 มีสัดส่วนถึงร้อยละ 17.3 ของ GDP และมีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากบทบาทในการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแล้ว กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศยังได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากรัฐบาลในการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs สำหรับธุรกิจด้าน Hospitality มีตลาดเป้าหมายคือ ประเทศที่พึ่งพาหรือให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว ซึ่งญี่ปุ่นจัดอยู่ในกลุ่มนี้ รวมทั้งตลาดเกิดใหม่ที่มีการพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่น ประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV จีน อินเดีย อิหร่าน โดยการนำเสนอธุรกิจแบบคลัสเตอร์ ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจบริหารจัดการโรงแรม ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ เช่น ธุรกิจสปา ร้านอาหาร แฟรนไซส์ รวมถึงสินค้าอุปกรณ์และเครื่องใช้ในโรงแรม เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งโรงแรม เป็นต้น
สำหรับการจัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยในวันแรก (5 กันยายน 2559) เป็นการจัดสัมมนาให้ความรู้โดยนายเค็นซาขุ ยามาโมโตะ ผู้บริหารของกลุ่มบริษัท Super Hotel ซึ่งเป็นเชนโรงแรมที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น และนายทาคาโอะ อิคาโดะ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์การบริหารจัดการโรงแรมของญี่ปุ่น ในหัวข้อที่น่าสนใจ ได้แก่ สถานการณ์และแนวโน้มตลาดของธุรกิจบริการด้าน Hospitality ในญี่ปุ่น โอกาสและศักยภาพตลาดของธุรกิจ Wellness Tourism แนวทางการดำเนินธุรกิจโรงแรมและเทคนิคการบริหารจัดการโรงแรมของญี่ปุ่น อนาคตของธุรกิจบริการ Hospitality ความต้องการตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของลูกค้า กฎระเบียบและข้อแนะนำด้านการลงทุนของบริษัทต่างชาติในญี่ปุ่นในสาขาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม รวมถึงโอกาสในการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างไทยและญี่ปุ่นในธุรกิจ Hospitality และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง
ส่วนกิจกรรมในวันที่ 6 กันยายน 2559 เป็นกิจกรรมให้คำปรึกษาเป็นรายบริษัทโดยนายทาคาโอะ อิคาโดะ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรงแรมจากญี่ปุ่น
“เชื่อมั่นว่าการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ จะช่วยพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ประกอบธุรกิจบริการด้าน Hospitality ของไทย รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจโรงแรม SMEs ให้สามารถรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่คาดว่าจะหลั่งไหลเข้ามาในแถบอาเซียนเพิ่มขึ้น โดยผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวและดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงมีการพัฒนาคุณภาพการให้บริการเพื่อให้ธุรกิจ Hospitality ของไทย สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในระยะยาว"รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกล่าว
ทั้งนี้ องค์การการท่องเที่ยวโลก หรือ World Tourism Organization คาดการณ์ว่า ในปี 2563 จะมีนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศเกือบ 1,600 ล้านคน โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกมีแนวโน้มว่าจะเป็นปลายทางยอดนิยมมากขึ้น โดยมีสัดส่วนถึงร้อยละ 25 ของตลาดท่องเที่ยวทั่วโลก หรือประมาณ 400 ล้านคน ขณะที่กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนจะเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งใหม่ โดยมีนักท่องเที่ยวเป็น 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก หรือประมาณ 130 – 140 ล้านคน