นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ที่ประชุมกกร. ยังคงกรอบประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้ไว้ที่ 3.0-3.5% และการส่งออกที่ -2.0% ถึง 0.0% แม้ GDP ในช่วงครึ่งปีแรกออกมาดีกว่าคาด ทำให้มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยทั้งปีนี้อาจจะขยายตัวสูงกว่าประมาณการโดยเฉพาะกรอบล่างของประมาณการ โดยจะมีการพิจารณาในการประชุมครั้งถัดไป (ต้นต.ค.) พร้อมกันนี้ต้องมีติดตามสถานการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกด้วยทั้งสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีนด้วย
"GDP ไตรมาส 2/59 ของไทยที่ขยายตัว 3.5% จะสูงกว่าคาด แต่ก็เป็นผลจากปัจจัยเฉพาะ ได้แก่ การบริโภคครัวเรือน ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมในเดือนก.ค.59 การฟื้นตัวเริ่มช้าลง โดยการใช้จ่ายของภาครัฐชะลอลง การบริโภคของครัวเรือนขยายตัวชะลอลงเพราะได้เร่งซื้อสินค้าคงทนไปในช่วงก่อนหน้า สะท้อนจากยอดขายรถยนต์ที่กลับมาติดลบ ขณะที่การลงทุนค่อนข้างทรงตัว นอกจากนี้การส่งออกหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยหดตัวในเกือบทุกตลาดหลัก ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ต่างจากการส่งออกของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค อันสะท้อนถึงผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก" นายปรีดี กล่าว
นายปรีดี กล่าวว่า กกร.มีความเป็นห่วงประเด็นความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น แม้ว่าจะยังเคลื่อนไหวสอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาค ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออก ดังนั้นผู้ประกอบการควรเตรียมความพร้อมและมีการบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินและราคาสินทรัพย์ต่างๆ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และดูแลอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้เสียเปรียบคู่ค้าคู่แข่ง ซึ่งเงินบาทที่แข็งค่ามาจากมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามา แต่จากการประเมินจากหลายสำนักมองว่าค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วงปลายปีนี้
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อกับสถาบันการเงินเพื่อการปรับปรุง พัฒนา และยกระดับคุณภาพสถานที่ประกอบการ โดยมุ่งหวังที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมของไทยให้สูงขึ้น โดยสมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิกได้ร่วมกันพิจารณา "โครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม" ซึ่งในเรื่องนี้สมาคมธนาคารไทยได้มีการหารือกับธนาคารสมาชิก และกำหนดเงื่อนไขในการให้กู้ในแนวทางเดียวกันให้เหมาะสมกับผู้ประกอบการโรงแรม โดยให้วงเงินสูงสุดไม่เกิน 80% ของวงเงินลงทุน และเป็นสินเชื่อระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี โดยมีระยะเวลาการเบิก 1 ปีหลังจากได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว โดยแต่ละธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้ตามดุลยพินิจ และสามารถกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมให้จูงใจเพิ่มขึ้นได้ โดยผู้ประกอบการโรงแรมสามารถยื่นคำขอสินเชื่อกับธนาคารที่ผู้ประกอบการมีวงเงินสินเชื่ออยู่แล้ว
"กกร.มองว่าการท่องเที่ยวยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ และใกล้ถึงฤดูกาลท่องเที่ยว จึงเห็นว่าหากมีการปรับปรุงโรงแรมให้ดีขึ้นจะมีส่วนช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาช่วงปลายปีนี้" นายปรีดี กล่าว
ด้านนายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในเดือนตุลาคมนี้ กกร.จะมีการพิจารณาปรับประมาณการ GDP ในส่วนของกรอบล่างเพิ่มขึ้น ซึ่งยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะอยู่ที่ระดับใด ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก
"คงตอบไม่ได้ในส่วนของ GDP อาจจะ 3.1-3.5% หรืออาจะจะเป็น 3.2-3.6% หรือไม่ ขณะที่ค่าเงินบาทนั้นภาคเอกชนก็มองว่า ที่เหมาะสมและแข่งขันได้ก็อาจจะประมาณ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งในปัจจุบันค่าเงินบาทเรายังแข็งค่าน้อยกว่าคู่แข่ง" นายเจน กล่าว
ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีหลัง ส.อ.ท.อยากให้ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณต่างๆ รวมถึงเร่งรัดโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในส่วนของระบบราง และการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งในเรื่องระบบรางนายกรัฐมนตรีเคยมีข้อสั่งการอยากให้เอกชนเข้าไปมีส่วนร่วม เช่น ภายในโบกี้ เบาะรองนั่ง หรือส่วนต่างๆที่ภาคเอกชนมีความพร้อม เพราะเบื้องต้นระบบรางหลายเส้นมีความคืบหน้าแล้ว
สำหรับการลงทุนนั้นทาง ส.อ.ท.ยังคงเดินหน้าผลักดันอย่างต่อเนื่องโดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เน้นด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี
ส่วนปัญหาการว่างงาน ทาง ส.อ.ท. มองว่าไม่น่าเป็นห่วง เพราะหลายอุตสาหกรรมยังคงมีการใช้แรงงานต่างด้าวเป็นส่วนใหญ่ ประกอบกับช่วงปลายปีนี้หลายอุตสาหกรรมจะมีการเร่งการผลิตมากขึ้นและเชื่อว่าแนวโน้มการว่างงานจะน้อยลงด้วยซ้ำไป
ขณะที่นายสมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานหอการค้าไทย ยอมรับว่า ยังมีความเป็นห่วงสภาวะเศรษฐกิจโลกในตลาดหลัก ทั้งสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่นและจีน แต่โดยปกติภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งในสหรัฐจะมีการเลือกตั้งปลายปีนี้ก็เชื่อว่าจะมีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ด้านจีนและญี่ปุ่นก็พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ ส่วนยุโรปยังถือว่าทรงๆ ตัวอยู่