นางศศิวรรธน์ วิทยาจักษุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท พีค สตรอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในปีนี้เริ่มมีการเติบโตดีขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้หวือหวามากนัก แต่ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดี โดยมองการเติบโตน่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องต่อจากนี้ไปอีก 3 ปีข้างหน้า เป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี หรือ เศรษฐกิจ 4.0 ที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมปรับตัวอย่างมาก โดยหันมาผลิตสินค้าที่เป็นนวัตกรรมมากขึ้น ลดต้นทุนการดำเนินงาน และเพิ่มมาร์จิ้นของสินค้า ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ภาพการลงทุนด้านโลจิสติกส์ของภาคการผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียนในช่วงครึ่งปีหลังจะมีสัญญาณการลงทุนที่เป็นบวก เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีชั่นที่นักลงทุนจะเริ่มมองหาพื้นที่การลงทุนใหม่ ขณะที่นโยบายของภาครัฐก็มีการส่งเสริมการลงทุน หรือขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม จึงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้ประเทศไทยและประเทศในแถบภูมิภาคอาเซียนมีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามไปด้วย
สำหรับบริษัทก็จะเติบโตสอดคล้องไปตามนโยบายภาครัฐ เศรษฐกิจ 4.0 โดยปีนี้มีการนำนวัตกรรมใหม่ระดับโลก เพื่อใช้สำหรับจัดเก็บสินค้าด้วยระบบ Warehouse Solutions โดยบริษัทได้เปิดตัวรางเลื่อน Auto Shuttle ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องของความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดพื้นที่ ปลอดภัย พร้อมทั้งสามารถเก็บพาเลททางด้านลึกได้มากขึ้นถึง 60 เมตร และสามารถใช้ได้ทั้ง FIFO (First In - First Out) และระบบ LIFO (Last In - First Out)
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดตัวตู้เก็บข้อมูล Bruynzeel ที่เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับจัดเก็บข้อมูลเอกสารต่างๆให้เป็นระบบ เพื่อการหาข้อมูลสามารถทำได้ง่ายขึ้นเมื่อต้องการใช้งาน ซึ่งการเปิดตัวนวัตกรรมดังกล่าว ก็เพื่อรองรับการขยายตัวของระบบโลจิสติกส์ และตอบโจทย์ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่างๆและผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ ให้สามารถลดต้นทุน ประหยัดพื้นที่ภายในคลังสินค้าทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในระยะกลางและระยะยาว
ขณะที่การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศบริษัทมองว่าการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะทำให้เกิดความคึกคักด้านการลงทุนจากต่างชาติที่จะเข้ามาในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลาว ซึ่งถือเป็นประเทศของตลาดแรงงานเกิดใหม่ จึงทำให้การลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนเกี่ยวกับโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบริษัทมองเห็นโอกาสในการเติบโตจากกลุ่ม AEC จึงได้มีการขยายตลาดเข้าไปจำหน่ายสินค้าและบริการออกแบบติดตั้งงานที่ประเทศลาว เบื้องต้นได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่ม AEC (มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, ลาว) อยู่ประมาณ 5% และคาดหวังจะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นในปี 60 เป็น 7-8% โดยจะเน้นการเติบโตจากการขายผ่านไปยังประเทศอินโดนีเซียเป็นหลัก
นางศศิวรรธน์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโตราว 150 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 72 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้ของสินค้าและบริการเป็นหลักตามยอดคำสั่งซื้อสินค้าที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง มูลค่างานจะมีตั้งแต่ 18-41 ล้านบาท สามารถส่งมอบงานได้ภายใน 3-6 เดือน ซึ่งบริษัทยังคงเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม และขยายฐานลูกค้าใหม่ พร้อมกับสร้างมูลค่าเพิ่มจากงานบริการเป็นหลัก
พร้อมกันนี้บริษัทก็อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อรับงานโปรเจคขนาดใหญ่ เป็นงานคลังสินค้า ในกลุ่มคอนซูเมอร์ ก็น่าจะส่งผลดีต่อรายได้ในปี 60 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
อนึ่ง บริษัทเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ระบบชั้นจัดเก็บ ชั้นวางสินค้า ตู้สินค้า ตู้สำนักงาน พาเลท และกันชนเสาในโรงงานอุตสาหกรรมแบบครบวงจร พร้อมบริการออกแบบติดตั้งชั้นวางสินค้าระบบคลังสินค้า และก่อสร้างคลังสินค้า และตัวแทนจำหน่ายสินค้าแบรนด์ชั้นนำระดับโลก อาทิ Dexion ( เด้กเชี่ยน) / Rack Amour ( แรค อาเม่อร์) / Bruynzeel (บรุนเซล) / CAEM โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็น กลุ่มอุปโภคและบริโภค และมีคู่แข่งอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันเพียง 3 ราย และมีมูลค่าตลาดของ Rack อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท