นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงรายงานนโยบายการเงินฉบับเดือน ก.ย.59 ระบุว่า ที่ประชุม กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะโน้มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงครึ่งหลังของปี
ขณะที่ภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลายและยังเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากอัตราดอกเบี้ยแท้จริงและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่อยู่ในระดับต่ำ และการระดมทุนโดยรวมของภาคธุรกิจและสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ยังขยายตัวได้ แม้ธุรกิจบางกลุ่มยังมีข้อจำกัดในการได้รับสินเชื่อ
นายจาตุรงค์ กล่าวว่า กนง.มีความเห็นว่าเงินบาทที่โน้มแข็งค่าขึ้นบ้างเมื่อเทียบกับสกุลคู่ค้าคู่แข่งสำคัญ อาจไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
ดังนั้น กนง. เห็นว่าการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (policy space) ยังมีความสำคัญ เพราะในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยอาจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง และความไม่แน่นอนของทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลักที่จะส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมากขึ้น นอกจากนี้ กนง. เห็นว่ายังต้องติดตามความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน รวมทั้งพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า (search for yield) จากการที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน
สำหรับในระยะต่อไป กนง. เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อเนื่อง และพร้อมที่จะใช้เครื่องมือเชิงนโยบายที่มีอยู่อย่างเหมาะสม เพื่อให้ภาวะการเงินโดยรวมเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศ
ขณะที่ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 59 มีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าที่เคยประเมินไว้เล็กน้อยจากการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 2 ที่สูงกว่าคาดซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของปัจจัยชั่วคราว ขณะที่การขยายตัวของการส่งออกลดลงตามเศรษฐกิจคู่ค้าที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าคาด และภาคการท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบระยะสั้นจากปัจจัยในประเทศ
ทั้งนี้ พัฒนาการสำคัญที่ กนง. ได้นำมาพิจารณาเพื่อประเมินภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ได้แก่ (1) เศรษฐกิจประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้จากผลของการลงประชามติออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) ที่ทำให้เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัว และส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศในภูมิภาคเอเชีย (2) จำนวนนักท่องเที่ยวต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้เนื่องจากได้รับผลกระทบระยะสั้นจากเหตุการณ์ระเบิดในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ในเดือนสิงหาคมและมาตรการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ
(3) ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่เคยประเมินไว้ และ(4) การใช้จ่ายภาครัฐในระยะต่อไปมีมากกว่าที่เคยประเมินไว้ ทำให้โดยรวมเศรษฐกิจปี 2560 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงเดิม สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานใกล้เคียงกับที่เคยประเมินไว้เช่นกัน ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงตลอดช่วงประมาณการตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ
"กนง. คงประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 59 และ 60 แต่ปรับลดประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 59 และ 60 เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าคาดไว้เดิม โดยประเมินให้ความเสี่ยงต่อประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั้งสองโน้มไปด้านต่ำมากขึ้น สอดคล้องกับความเสี่ยงต่อประมาณการเศรษฐกิจ"
นายจาตุรงค์ กล่าวถึงปริมาณการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มหดตัวมากกว่าที่ประเมินไว้เดิมตามเศรษฐกิจคู่ค้าที่ฟื้นตัวช้าและยังเผชิญการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าส่งออกบางประเภท เช่น ราคาสินค้าเกษตรที่สูงกว่าคาดช่วยชดเชยปริมาณการส่งออกที่ต่ำกว่าคาด ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในปี 59 ใกล้เคียงเดิม
สำหรับการบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไปมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมแลภาคบริการที่ขยายตัว ขณะที่รายได้ในภาคการผลิตเพื่อส่งออกฟื้นตัวช้าตามการส่งออกสินค้าที่ซบเซา ทางด้านการใช้จ่ายภาครัฐในระยะต่อไปมีแนวโน้มเบิกจ่ายได้มากกว่าที่เคยประเมินไว้เนื่องจากผลการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญช่วยให้รัฐบาลสามารถผลักดันนโยบายได้ต่อเนื่อง ทำให้โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่เดิมมีความไม่แน่นอนมีความชัดเจนมากขึ้น
สำหรับการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาด ตามการส่งออกสินค้าที่ซบเซา ขณะที่การบริโภคและการส่งออกบริการที่ยังขยายตัว และนโยบายภาครัฐที่มีความต่อเนื่อง จะช่วยสนับสนุนการลงทุนบ้าง แต่เกิดขึ้นเฉพาะในบางภาคธุรกิจ เศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้นเล็กน้อย ทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ใกล้เคียงกับที่เคยประเมินไว้ ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านต้นทุนลดลงตามราคาน้ำมันดิบ